วันนี้ (8 ธันวาคม) ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน แสดงความคิดเห็นถึงกรณีภาวะตลาดหุ้นทั้งไทยและต่างประเทศยังตกลงต่อเนื่อง จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก การเก็บภาษีหุ้นจึงไม่เหมาะสมและได้ไม่คุ้มเสีย ด้วยเหตุผลดังนี้
- ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงหนักจากเงินเฟ้อและปัญหาเศรษฐกิจ
- ภาษีขายหุ้นจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่อง โดยกระทบนักลงทุนทุกประเภท รวมทั้งรายย่อยที่ลงทุนโดยตรงและลงทุนผ่านกองทุนรวม และนักลงทุนต่างประเทศ
- สภาพคล่องที่ลดลงจะส่งผลต่อผลประกอบการของทั้งอุตสาหกรรม และส่งผลต่อเม็ดเงินที่บริษัทใน Real Sector (กลุ่มอุตสาหกรรม) จะสามารถระดมทุนโดยการออกหุ้นสามัญเพื่อนำไปใช้ในการขยายกิจการ
- Market Maker หรือผู้ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลต่อนวัตกรรมของตลาดทุนไทย ทำให้เราแข่งขันกับตลาดทุนอื่นได้ยากขึ้น
- อัตรา 0.1% สูงพอๆ กับที่ทั้งอุตสาหกรรม (โบรก ตลท. และ ก.ล.ต.) จัดเก็บอยู่แล้วในรูปของค่าธรรมเนียมต่างๆ
- มีการเก็บภาษีอื่นจากการขายหุ้นอยู่แล้ว ทุกการซื้อขายหุ้นมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีรายได้จากเงินปันผล ภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการซื้อขายหุ้น
- ที่ผ่านมาตลาดทุนได้ทำหน้าที่สนับสนุนนโยบายรัฐบาล เช่น การให้ความรู้ทางการเงิน, การส่งเสริมให้วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม หรือ SMEs เข้ามาระดมทุน, การจ้างงาน, การเสียภาษีของอุตสาหกรรม
ศ.ดร.นฤมล กล่าวอีกว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากจะเป็นแหล่งระดมเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการแล้ว ยังทำให้เกิดการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลนำส่งรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 80% ของบริษัทเอกชนที่เสียภาษีในประเทศไทย และยังทำให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้คนไทย มาเป็นเวลากว่า 48 ปี
รายได้ภาษีขายหุ้นที่รัฐคาดว่าจะได้รับประมาณ 1.6-2 หมื่นล้านบาท จะไม่คุ้มค่ากับผลลบที่จะเกิดกับตลาดทุน แหล่งระดมทุนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่จะเติบโตเป็นฟันเฟืองทางเศรษฐกิจของประเทศ