×

‘ถึงเวลาจับปืน’ เปิดบทสัมภาษณ์กลุ่มต้านรัฐประหารเมียนมา หนีเข้าป่าฝึกอาวุธกับกองกำลังชนกลุ่มน้อย พร้อมสละชีวิตทำสงครามกับรัฐบาลทหาร

04.06.2021
  • LOADING...
กลุ่มต้านรัฐประหารเมียนมา

เสียงหัวเราะด้วยความประหม่าดังก้องขึ้นภายในป่าทางตะวันออกของเมียนมา ขณะที่หนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังพยายามฝึกฝนการใช้อาวุธปืน ท่ามกลางความหวังในการโค่นล้มรัฐบาลทหาร แต่แรงถีบของปืนทำให้เขาถูกกระแทกถอยหลัง ในขณะพยายามยิงไปยังเป้าหมายที่วาดไว้บนต้นไม้

 

ชายหนุ่มรายนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐประหารหลายคน ที่หนีการปราบปรามของรัฐบาลทหารออกจากเมือง เข้าไปยังผืนป่าในเขตแดนของกองกำลังชนกลุ่มน้อย 

 

ซึ่งทุกคนล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือต้องการฝึกอาวุธไปต่อสู้กับกองทัพ แม้ว่าบางคนนั้นในชีวิตจะไม่เคยจับหรือได้ยินเสียงปืนมาก่อนก็ตาม

 

มิน (ชื่อสมมุติ) ชายหนุ่มเมียนมาวัย 23 ปี ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว AFP ระหว่างที่อยู่ในค่ายฝึกซ้อมรบกลางป่าลึกของกองกำลังชนกลุ่มน้อยรัฐกะเหรี่ยง ที่อยู่ติดแนวชายแดนของไทย

 

เขาเผยว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ยังไม่เคยได้ยินเสียงปืนแม้แต่ครั้งเดียว แต่ผลจากการรัฐประหารและการปราบปรามกลุ่มต่อต้าน รวมถึงการจับกุมตัว ออง ซาน ซูจี ผู้นำรัฐบาลพลเรือน และผู้นำพรรค NLD ทำให้เขาตัดสินใจเข้าร่วมการฝึกอาวุธกับชนกลุ่มน้อย จนตอนนี้มีความคุ้นชินกับเสียงกระสุนและการยิงปืน และมั่นใจว่านี่คือคำตอบในการต่อสู้ของประชาชน

 

“มันคือเสียงปืน ไม่ใช่การประท้วง ที่จะยุติเผด็จการทหารในประเทศของเรา” เขากล่าวด้วยความเชื่อมั่นและความโกรธแค้นที่มีต่อกองทัพ ขณะที่ผู้ประท้วงชาวเมียนมาไม่น้อย มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับมิน

 

จำนวนของชาวเมียนมาที่ตัดสินใจเข้าป่าฝึกอาวุธต่อสู้กับกองทัพนั้น นั้นยากแก่การประเมิน แต่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ามีชาวเมียนมาหลายร้อยคนเดินเท้าเข้าไปในพื้นที่ปกครองของชนกลุ่มน้อยเพื่อฝึกการต่อสู้

 

Htar Htet Htet ครูสอนยิมนาสติก และอดีตมิสแกรนด์เมียนมา ปี 2013 ที่เคยเดินทางมาประกวดในไทย เป็นหนึ่งในกลุ่มต้านรัฐประหารที่ตัดสินใจเข้าป่าเพื่อร่วมฝึกซ้อมรบ ภาพของเธอที่ปรากฏทางทวิตเตอร์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาไม่ใช่ภาพนางงามสวมมงกุฎ แต่เป็นหญิงสาวในชุดพร้อมรบสีดำ ถือปืนไรเฟิลจู่โจม พร้อมระบุข้อความจากนักปฏิวัติชื่อดัง เช เกวารา ว่า

“การปฏิวัติไม่ใช่แอปเปิ้ลที่จะร่วงหล่นเมื่อสุกงอม คุณต้องทำให้มันร่วงลงมา” เธอกล่าว และระบุว่า “ถึงเวลาแล้วที่ต้องสู้กลับ”

 

แต่การต่อสู้กับกองทัพเมียนมาที่ได้ชื่อว่าเป็นกองทัพที่ดุดันและโหดเหี้ยมที่สุดชาติหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้โอกาสในการเอาชนะหากเกิดการเผชิญหน้าอาจมีไม่มากนัก

 

ซึ่งนับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ กองทัพเมียนมายังคงมีการทำสงครามกับกองกำลังติดอาวุธชนกลุ่มน้อยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ เดวิด แมธีสัน นักวิเคราะห์ที่เคยประจำอยู่ในเมียนมา มองว่าการต่อสู้แบบเปิดหน้ากับกองทัพเมียนมานั้นอาจต้องจบลงด้วยการนองเลือด

 

เป้าหมายของการฝึกรบ

ชีวิตในค่ายฝึกรบกองกำลังกะเหรี่ยงนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง บรรดาหนุ่มสาวที่อาสาเข้าร่วม ต้องฝึกกลยุทธ์การสู้รบภายในป่า ทั้งข้ามลำธารเชี่ยวกรากที่เต็มไปด้วยโคลนโดยการเกาะเชือก พรางตัวในพงหญ้าและพุ่มไม้ ฝึกฝนการช่วยเหลือและพาเพื่อนที่บาดเจ็บจากการรบไปยังจุดปลอดภัย

 

ในช่วงพักการฝึก หนุ่มสาวเหล่านี้จะนอนพักบนเตียงไม้และเล่นสมาร์ทโฟน ขณะที่หลายคนมีความตั้งใจอย่างมาก โดยมินเผยต่อ AFP ว่า ทุกการฝึกนั้นยากลำบากอย่างมาก แต่พวกเขาก็พยายามตั้งใจฝึกอย่างเต็มที่

 

ขณะที่ครูฝึกรบนั้น เป็นสมาชิกจากสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ซึ่งเป็นหนึ่งในกองกำลังชนกลุ่มน้อยกว่า 20 กลุ่มที่อยู่ทั่วทุกภูมิภาคของเมียนมา โดย KNU ได้ตั้งค่ายฝึกรบหลายแห่งในเขตแดนของตนตามแนวชายแดนไทย แต่ไม่เปิดเผยว่ามีกลุ่มต่อต้านการรัฐประหารมากแค่ไหนที่เข้าร่วมฝึกรบในค่ายเหล่านี้ 

 

อย่างไรก็ตามทรัพยากรที่มีจำกัดทำให้ผู้เข้าร่วมฝึกรบหลายคนต้องสวมรองเท้าแตะแทนรองเท้าคอมแบต บางคนสวมเสื้อยืดกางเกงฟุตบอล ในขณะใส่กระสุนปืน สะท้อนถึงชีวิตพลเรือนที่พวกเขาละทิ้งมา

 

พร้อมสละชีวิตสู้รัฐบาลทหาร

“ฉันต้องการให้กำลังใจคนที่ยังคงประท้วงต่อต้านกองทัพไม่ให้ล้มเลิก และเพื่อให้การปฏิวัตินี้ดำเนินต่อไป” ขิ่น (ชื่อสมมุติ) หนึ่งในหญิงสาวที่เข้าร่วมฝึกรบกล่าวต่อ AFP โดยยืนยันว่าเธอและพรรคพวกที่ฝึกซ้อมรบจะหาทางช่วยกลุ่มผู้ประท้วงในทางใดทางหนึ่ง และขอให้ยืนหยัดต่อสู้ด้วยความแข็งแกร่งจนกว่าจะได้รับชัยชนะ

 

แต่ความพยายามต่อสู้และทำสงครามกับกองทัพเมียนมาทำให้เกิดคำถามถึงความเป็นไปได้ที่จะชนะ โดยแมธีสันตั้งคำถามถึงกลยุทธ์การต่อสู้ในป่าและภูเขาของกองกำลังชนกลุ่มน้อย ว่าจะมีประสิทธิภาพแค่ไหนหากต้องนำมาใช้ในการสู้กับกองทัพที่ประจำอยู่ภายในเมือง

 

เขาย้ำว่าแม้การฝึกรบนั้นอาจจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ผู้เข้าร่วมได้เติบโตมากขึ้น แต่คงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหนุ่มสาวเหล่านี้ให้กลายเป็นนักรบที่ทำสงครามภายในเมืองได้อย่างเชี่ยวชาญ อีกทั้งมองว่าการฝึกระยะสั้นนั้นไม่น่าจะปลูกฝังวินัยและความทรหดอดทนที่จำเป็นสำหรับการสู้รบกับกองทัพ

 

“ผมคิดว่าจะมีคนหัวร้อนและฮอร์โมนพลุ่งพล่านจำนวนมาก” แมธีสันกล่าว และเสริมว่า “นี่อาจเป็นสูตรแห่งความโกลาหล”

 

แต่ถึงกระนั้นมินยังคงยืนยันว่าเขาและพวกพ้องหนุ่มสาวที่ร่วมฝึกรบจะต้องยุติเผด็จการทหารด้วยการถอนรากถอนโคนให้จงได้

 

“เราได้ตัดสินใจที่จะสละชีวิตของเรา กระดูกและเลือดของเราเพื่อสิ่งนี้ เพื่อกำจัดพวกมันให้หมดสิ้น” เขากล่าว

 

ภาพ: Chaiwat Subprasom / SOPA Images / LightRocket via Getty Images

พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising