วันนี้ (12 มกราคม) นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง (11) นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ หัวหน้าสำนักวิชาการสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว หลังกรมควบคุมโรคกำลังพิจารณาให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น โดยระบุว่า ก่อนอื่นต้องเข้าใจความหมายของคำว่าโรคประจำถิ่นไปจนถึงคำอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก่อน ซึ่งเป็นระดับความรุนแรงของโรค เริ่มจากคำว่าโรคประจำถิ่น (Endemic) คือโรคที่เกิดขึ้นประจำในพื้นที่นั้น มีอัตราป่วย สถานการณ์คงที่ ความรุนแรงลดลง และสามารถคาดการณ์ได้ โดยขอบเขตของพื้นที่อาจเป็นเมือง ประเทศ หรือใหญ่กว่านั้นอย่างกลุ่มประเทศหรือทวีป เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออกในประเทศไทย โรคมาลาเรียในทวีปแอฟริกา ฯลฯ
ต่อมาคือคำว่าการระบาด (Outbreak) เป็นเหตุการณ์ที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นผิดปกติ ต้องย้ำคำว่า ‘ผิดปกติ’ ทั้งในกรณีโรคประจำถิ่น แต่มีจำนวนผู้ป่วยมากกว่าที่คาดการณ์ หรือในกรณีโรคอุบัติใหม่ ถึงแม้จะมีผู้ป่วยเพียงรายเดียว ก็นับว่าต้องจับตาดูเช่นกัน
จากนั้นคือคำว่าโรคระบาด (Epidemic) เป็นการระบาดของโรคที่แพร่กระจายกว้างขึ้นในเชิงภูมิศาสตร์ ซึ่งโรคระบาดที่แผ่ไปในพื้นที่ที่กว้างขึ้นนั้นเป็นการระบาดที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน และมีจำนวนผู้ติดเชื้อเกินกว่าที่คาดการณ์ได้ เช่น โรคอีโบลาที่ระบาดในทวีปแอฟริกาตะวันตกเมื่อปี 2557-2559
นพ.รุ่งเรือง อธิบายอีกว่า คำว่าการระบาดใหญ่หรือระดับการระบาดสูงสุด (Pandemic) เช่น การระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2461 (Spanish flu) หรือการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และล่าสุดคือการระบาดของโควิดในอย่างน้อย 122 ประเทศทั่วโลก
ปัจจุบันโควิดกำลังเปลี่ยนสู่การเป็นโรคประจำถิ่นหรือโรคที่เราสามารถคาดการสถานการณ์ได้ ด้วยปัจจัยสำคัญคือเชื้อลดความรุนแรง โดยปัจจุบันความรุนแรง อัตราป่วยตายโรคโควิดลดลง เหลือเสียชีวิต 1 รายจากผู้ติดเชื้อ 1,000 ราย หรือ 0.1% จากที่ในช่วงแรกของการระบาดตัวเลขข้างต้นสูงถึงมากกว่า 3%
นอกจากนั้นยังมีปัจจัยที่ประชาชนมีภูมิคุ้มกันค่อนข้างดี เช่น การฉีดวัคซีน และการติดเชื้อก่อนหน้า ไปจนถึงระบบการบริหารจัดการ การดูแลรักษา และควบคุม/ชะลอการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ที่สำคัญคือความร่วมมือของประชาชนในการเข้ารับวัคซีนไปจนถึงการมีวินัยในการดำรงชีวิต เมื่อการ์ดไม่ตกและร่วมแรงร่วมใจกันต่อไป ย่อมจะเป็นอัตราเร่งให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น เป็นโรคที่เราสามารถคาดการณ์และรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อภาพรวมเชิงเศรษฐกิจและสังคมต่อไป” นพ.รุ่งเรือง กล่าวในที่สุด