×

ไขคำตอบ MINT กำไรครึ่งปีแรกพุ่ง 74%! อะไรคือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้?

28.08.2024
  • LOADING...
MINT

ท่ามกลางการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกที่กำลังคึกคัก บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กลับมาผงาดอีกครั้งด้วยผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2567 ที่น่าจับตามองอยู่ไม่น้อย ด้วยกำไรสุทธิทะยานขึ้นถึง 74% แตะ 3,969 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

คำถามคือ ตัวเลขที่สวยหรูนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร อะไรคือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ และ MINT มีแผนรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสในอนาคตอย่างไร

 

THE STANDARD WEALTH มีโอกาสพูดคุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ MINT เพื่อไขทุกข้อสงสัยนี้

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 

 


 

ปัจจัยหนุนนำท่องเที่ยวบูม ดันผลประกอบการ MINT แข็งแกร่ง

 

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ MINTในครึ่งปีแรกนั้นมาจากปัจจัยบวกทั้งภายนอกและภายใน โดยปัจจัยภายนอกที่สำคัญคือการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก 

 

“เราเห็นความต้องการด้านการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ทั้งจากจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ยังคงเพิ่มขึ้น อุปสงค์การเดินทางเชิงสันทนาการและการเดินทางเชิงธุรกิจที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงอีเวนต์มหกรรมระดับสากลต่างๆ ที่จัดขึ้นทั่วโลก ทั้งการแข่งขันกีฬา คอนเสิร์ต และงานแสดงระดับโลกต่างๆ ทำให้การท่องเที่ยวกลับมาดีกว่าช่วงก่อนโควิดแล้วในหลายประเทศ”

 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือสเปน ซึ่งเป็นประเทศที่ MINTมีโรงแรมอยู่มากที่สุดถึง 84 แห่งนั้น ได้ทุบสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวไปตั้งแต่ปีที่แล้วที่ 84 ล้านคน โดยในครึ่งปีแรกมีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 13% ซึ่งคาดว่าจะทำสถิติใหม่อีกในปีนี้ ส่งผลให้ยอดการเข้าพัก (Occupancy) โรงแรมของ MINTในสเปน ไตรมาสที่ 2 แซงช่วงก่อนโควิดขึ้นมาแล้วอยู่ที่ประมาณ 80% จากเดิม 78% ในไตรมาส 2 ปี 2562

 

 

ส่วนราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) และรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ของโรงแรมของ MINTในหลายภูมิภาค เช่น ไทย ยุโรป และลาตินอเมริกา ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ก็โตต่อเนื่องจากปีที่แล้วและมากกว่าช่วงก่อนโควิดอย่างก้าวกระโดด โดย ADR และ RevPar ของโรงแรมในสเปนช่วงครึ่งแรกของปี 2567 โตจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ถึง 62% และ 60% 

 

นอกจากนี้ปัจจัยบวกอื่นๆ ยังรวมถึงมาตรการผ่อนคลายด้านวีซ่าของหลายประเทศ การเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินระหว่างประเทศ และการจัดงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ต่างๆ เช่น ยูโร 2024 ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่ง MINTมีโรงแรมอยู่ถึง 50 แห่ง และโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่ง MINTมีโรงแรมอยู่ 3 แห่ง (แต่ถ้ารวมฝรั่งเศสทั้งหมด 9 มีแห่ง) 

 

ยังมี Taylor Swift’s The Eras Tour ที่ไปทัวร์ถึง 10 กว่าประเทศ รวมถึงประเทศที่ MINTมีโรงแรมอย่างออสเตรเลีย, อิตาลี, ฝรั่งเศส, โปรตุเกส, สเปน, เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์ และไอร์แลนด์ 

 

“นอกจากอีเวนต์สำคัญเหล่านี้ ยังมีการท่องเที่ยวพักผ่อนที่ยังเติบโตต่อจากการเพิ่มเที่ยวบิน และการเดินทางเพื่อธุรกิจจากบริษัททั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก เช่น MICE ที่มาเสริมทัพเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง” ชัยพัฒน์ยืนยัน

 

กลยุทธ์รอบด้าน เสริมแกร่งธุรกิจโรงแรม

 

MINTไม่ได้เพียงแค่รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของตลาด แต่ยังใช้กลยุทธ์เชิงรุกเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโรงแรมอีกด้วย 

 

หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือ การยกระดับแบรนด์โรงแรมให้เป็นระดับลักชัวรีมากขึ้นผ่านการ Renovate และ Rebrand โดยเฉพาะในยุโรปและประเทศไทย ซึ่งช่วยเพิ่มราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดโรงแรมใหม่ๆ ช่วยเพิ่มรายได้และกำไร

 

MINT

 

ตัวอย่างเช่น การนำแบรนด์ ‘อนันตรา’ ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับลักชัวรีของไทย ไปเปิดในต่างประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน MINTมีโรงแรมอนันตรากว่า 9 แห่งในยุโรปและอีกหลายๆ แห่งในตะวันออกกลาง การยกระดับแบรนด์นี้ส่งผลให้ราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาห้องพักอนันตราในยุโรปเริ่มต้นที่ประมาณ 10,000 กว่าบาท

 

ส่วนแบรนด์ ‘อวานี’ ของ MINTจากไทยอีกแบรนด์ ก็มีการเปิดในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในเอเชียเอง ตะวันออกกลาง แอฟริกา มัลดีฟส์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมถึงยุโรป ที่ตอนนี้มีกว่า 8 แห่งแล้ว 

 

นอกจากนี้ MINTยังให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจโรงแรมแบบ Asset-Light โดยเน้นการรับจ้างบริหาร (Hotel Management) มากขึ้น ปัจจุบัน MINTมีโรงแรมทั้งหมด 558 แห่งทั่วโลก คิดเป็นจำนวนห้องพักเกือบ 80,000 ห้อง

 

“เรามีการเตรียมพร้อมรับมือกับช่วง High Season ของยุโรปในไตรมาสที่ 3 รวมถึงที่ประเทศไทย มัลดีฟส์ และประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ในไตรมาสที่ 4 เป็นอย่างดี” ชัยพัฒน์กล่าว “เรามั่นใจว่าจะไม่ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน เพราะธุรกิจท่องเที่ยวที่กำลังโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์และธุรกิจโรงแรมของไมเนอร์ ทำให้พนักงานโรงแรมของเราได้ Service Charge เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ และยังมีแผนเปิดโรงแรมเพิ่มอีกหลายแห่งในแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก เพื่อรองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น”

 

มองไปข้างหน้า ลุยขยายธุรกิจแบบ Asset-Light 

 

สำหรับแผนการในอนาคต MINTจะมุ่งเน้นการขยายธุรกิจแบบ Asset-Light มากขึ้น โดยเน้นการรับจ้างบริหารโรงแรมและการขยายแฟรนไชส์ร้านอาหาร ซึ่งโมเดลธุรกิจเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทสร้างอัตราการทำกำไรได้สูงขึ้นและเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม MINTก็ยังไม่ทิ้งการลงทุนในสินทรัพย์ (Investment) หากมองเห็นโอกาสที่คุ้มค่า

 

“เราได้พัฒนากลยุทธ์จากเดิมที่เน้น Asset Heavy และ M&A มาเป็นการขยายตัวแบบ Asset Light มากขึ้น เนื่องจากแต่ละแบรนด์มีความโดดเด่นติดตลาดกันมากขึ้นและการที่เครือมีโรงแรมที่หลากหลายด้วย” ชัยพัฒน์กล่าว

 

 

นอกจากนี้ MINTยังคงมีมุมมองอนาคตในแง่บวกและเชื่อมั่นในศักยภาพของธุรกิจ แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัวลงในบางตลาด และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตตามแผน 3 ปี คือ รายได้เติบโตเฉลี่ย 8-10% ต่อปี และกำไรเติบโต 15-20% ต่อปี

 

“การที่เรามีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้แม้กระทั่งในช่วงวิกฤตโควิด ทำให้เรามีชื่อเสียงที่ดี มีความน่าเชื่อถือ และได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงินและนักลงทุน” ชัยพัฒน์กล่าว

 

ปัจจุบัน MINTมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนลดลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ที่ 0.96 เท่า และมีเป้าหมายที่จะลดลงไปอยู่ที่ 0.8 เท่าภายในสิ้นปีนี้

 

สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งนี้ช่วยให้ MINTสามารถเดินหน้าลงทุนและขยายธุรกิจได้อย่างมั่นคง บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารจากปัจจุบัน 558 โรงแรม และ 2,655 ร้านอาหาร เป็นมากกว่า 780 โรงแรม และ 3,700 ร้านอาหาร ภายในปี 2569

 

“เรามีแผนจะเปิดโรงแรมเพิ่มอีกประมาณ 25 แห่งเป็นอย่างต่ำในครึ่งหลังของปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการรับจ้างบริหาร และกว่าครึ่งจะอยู่ในเอเชีย โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง” ชัยพัฒน์กล่าว 

 

ธุรกิจร้านอาหารเดินหน้าขยายทั้งในและต่างประเทศ

 

ขณะเดียวกัน “สำหรับธุรกิจร้านอาหาร เราก็ยังคงเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยจะเปิด The Pizza Company ในสิงคโปร์เร็วๆ นี้ และจะขยาย Dairy Queen เพิ่มในอินโดนีเซีย รวมถึงจะเปิด GAGA ในอินโดนีเซียด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เรายังมีแผนจะขยาย Sizzler ในเวียดนามเพิ่มอีกด้วย”

 

ส่วนในไทยจะเปิดร้าน Flagship ของแบรนด์ Swensen’s อีก 1 แห่ง หลังจากที่ Swensen’s มีสาขารูปแบบ Regional Flagship Store เปิดให้บริการอยู่แล้ว 6 แห่ง ได้แก่ ภูเก็ต, น่าน, ยะลา, พิษณุโลก, นครศรีธรรมราช และหาดใหญ่ 

 

MINT

 

แม้ว่าจะมีแบรนด์ร้านอาหารใหม่ๆ เข้ามา แต่ MINTย้ำว่ายังคงความได้เปรียบเรื่อง ‘ขนาด’ จากจำนวนสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และกระจายในประเทศหลักอื่นๆ ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ 

 

แต่ละแบรนด์ในเครือจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้วยการปรับเมนูเดิมและคิดค้นเมนูใหม่ ไม่ว่าจะเป็น จีน ที่แบรนด์ Riverside Grilled Fish เปิดตัวเมนูหลักเพิ่มเติมจากเมนูเดิม โดยนำเสนอตัวเลือกโปรตีนประเภทใหม่ที่มีความหลากหลายนอกเหนือจากปลา เพื่อดึงดูดและขยายฐานลูกค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น รวมถึงเน้นหาลู่ทางขยายสาขาแบบออกแฟรนไชส์ตลอดจนย้ายร้านไปอยู่ในโลเคชันที่จะมีลูกค้าเยอะขึ้น เพื่อช่วยให้ทำกำไรได้เร็วขึ้นและมากขึ้น 

 

ในออสเตรเลีย THE COFFEE CLUB คิดค้นกลยุทธ์การขายอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับแบรนด์ ทั้งการใช้ประโยชน์จากเมล็ดกาแฟที่บริษัทคั่วเองและได้รับรางวัลระดับโลก เพิ่มกาแฟ Blend ใหม่ๆ ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายกาแฟ รวมถึงคิดค้นเมนูและรูปแบบอาหารใหม่ๆ และปรับปรุงร้านค้าด้วยดีไซน์ใหม่เพื่อเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้น

 

“ความหลากหลายของแบรนด์ที่ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารของไมเนอร์คงความเป็นผู้นำในตลาด มีเมนู ราคา และแคมเปญทางการตลาด ที่น่าดึงดูด และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มทุกวัย” 

 

 

ไม่หวั่นไหวต่อเสียงวิจารณ์

 

แม้ว่าจะมีนักวิเคราะห์บางส่วนปรับลดประมาณการกำไรของ MINTลง เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก แต่ชัยพัฒน์ยังคงมั่นใจในศักยภาพของบริษัทที่สามารถพิชิตความท้าทายเชิงมหภาคได้ในอดีตเสมอมา โดยเขากล่าวว่า “นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงประมาณการไว้เหมือนเดิมคือ ยังมีการคาดการณ์ที่เป็นบวก เนื่องจากปัจจัยบวกด้านการท่องเที่ยวและยอดการจองโรงแรมล่วงหน้าที่แข็งแกร่ง”

 

สำหรับความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกหรือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น MINTก็มีแผนรับมืออย่างรอบคอบ ชัยพัฒน์กล่าวว่า “ถึงแม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว แต่การท่องเที่ยวยังคงเติบโต และเราไม่มีโรงแรมอยู่ในประเทศที่เกิดหรืออาจมีสงคราม และในอดีตที่ผ่านมา การท่องเที่ยวจะยังคงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ ถึงแม้ว่าภาคส่วนอื่นของเศรษฐกิจจะชะลอตัว” 

 

ส่วนในเรื่องของการแข่งขัน MINTจะเน้นการสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์และความภักดีของลูกค้า (Loyalty) ด้วยการรักษามาตรฐานการดำเนินงานที่สูง พร้อมทั้งสร้างสรรค์เมนูและคอนเซปต์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ

 

“ครึ่งปีแรกกำไรสุทธิเราโตถึง 74% ดังนั้นเรามุ่งมั่นที่จะรักษาโมเมนตัมการเติบโตนี้ต่อไปในช่วงครึ่งหลังของปี” ชัยพัฒน์กล่าวทิ้งท้ายอย่างมั่นใจ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising