เมื่อไม่นานมานี้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Facebook เป็น Meta เดินหน้าทุ่มพัฒนาโลกเสมือน Metaverse อย่างเต็มตัว ซึ่งเป็นโลกเสมือนจริงที่ผู้คนสามารถใช้ชีวิต ทำงาน และเล่นสนุกได้
แต่รู้หรือไม่คำว่า ‘Metaverse’ เป็นคำที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เกือบ 30 ปีมาแล้ว โดย นีล สตีเฟนสัน ผู้เขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์ที่เป็นผู้ประดิษฐ์คำว่า Metaverse เพื่อใช้ในนวนิยายเรื่อง ‘Snow Crash’ โดยในนวนิยายเรื่องนี้ ผู้คนใช้อวตารดิจิทัลของตนเองเพื่อเข้าไปอยู่โลกเสมือนออนไลน์หรือ Metaverse เพื่อหลบหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงที่โหดร้าย
เกือบ 30 ปีต่อมาหลังนวนิยายเรื่องนี้ถูกตีพิมพ์ โลกอนาคตในนวนิยายกำลังจะเกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน นำโดย ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของบริษัท Meta และตามด้วยบริษัทเทคโนโลยีอีกหลายแห่งอย่าง Microsoft, Roblox และ Epic Games ก็กำลังวางแผนสร้าง Metaverse ของตัวเองเช่นกัน
ในตอนนี้ผู้ประดิษฐ์คำว่า Metaverse อย่างสตีเฟนสันก็ทำงานในตำแหน่ง ‘หัวหน้านักอนาคตศาสตร์’ ในบริษัท Magic Leap ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่พัฒนาโลกเสมือนจริง และยังเคยเป็นที่ปรึกษาในบริษัทท่องอวกาศ Blue Origin ของ เจฟฟ์ เบโซส์ อีกด้วย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สตีเฟนสันบอกกับสำนักข่าว Axios ว่าเขา “ไม่เคยติดต่อกับซักเคอร์เบิร์กมาก่อนเลย” และจะดีมากถ้าหาก Meta เดินตามรอยคำทำนายของสตีเฟนสันที่เขียนไว้ในนวนิยายทั้งหมด ซึ่ง Metaverse อาจไม่ใช่โลกที่สวยงามเท่าไรนักในอนาคต
ตั้งแต่เมื่อ 29 ปีที่แล้ว นวนิยาย ‘Snow Crash’ ทำนายอะไรไว้บ้าง?
ใน Snow Crash เป็นเนื้อเรื่องในอนาคต ณ ช่วงเวลาที่เขียน โดยเนื้อเรื่องกล่าวถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 21 แปลว่าเขียนถึงโลกในปัจจุบัน ปีที่เราอยู่นี่เอง ในเรื่องนั้นเป็นโลกในอนาคตที่มืดมน ทั้งเศรษฐกิจโลกล่มสลาย และรัฐบาลกลางได้สูญเสียอำนาจส่วนใหญ่ไปให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ จำนวนหนึ่ง
โดยตัวละครหลักของนวนิยายเรื่องนี้เป็นแฮ็กเกอร์และทำอาชีพเป็นคนขับรถส่งพิซซ่าที่ไม่ค่อยมีอันจะกิน ชื่อว่า ฮิโระ ซึ่งเขามักใช้เวลาส่วนใหญ่ในโลก Metaverse โดยการสวมแว่นตาและหูฟังเข้าไปเป็นตัวละครอวตารที่สามารถปรับแต่งได้เองในโลกเสมือนนั้น
อวตารสามารถเดินเล่นไปตามถนนกว้างสายเดียวที่ยาวหลายหมื่นไมล์ ซึ่งมีทั้งสวนสนุก ร้านค้า สำนักงาน และศูนย์รวมความบันเทิง โดยผู้ที่ไม่ค่อยมีเงินจะใช้อุปกรณ์สาธารณะเพื่อเข้าสู่โลก Metaverse และมักจะถูกเหยียดโดยพวกที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นของตัวเอง หรือพวกที่มีเงินนั่นเอง
เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ใน Snow Crash เกี่ยวกับตัวเอกที่พยายามจะหยุดไวรัสคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำให้ผู้ใช้ Metaverse ได้รับความเสียหายทางสมองในโลกแห่งความเป็นจริงได้
อะไรจากนวนิยาย Snow Crash ที่เกิดขึ้นจริงแล้วบ้าง?
คุณอาจจะเดาได้อยู่แล้ว อย่างแรกก็คือแว่นที่ตัวละครใน Snow Crash ใช้เข้าสู่โลกเสมือนจริง ในปัจจุบันแบรนด์ Oculus ของ Meta ได้ผลิตขึ้นออกมาแล้วหลายรุ่น นอกจากนั้นอวตารเสมือนก็เกิดขึ้นในวิดีโอเกมมานานหลายทศวรรษแล้ว และชุมชนออนไลน์ขนาดใหญ่อย่าง Roblox, Minecraft ของ Microsoft หรือ Fortnite ของ Epic Games ซึ่งผู้เล่นสามารถออกแบบอวตารของตัวเองเพื่อสำรวจโลกเสมือนจริงในเกม
รวมถึงผู้เล่นยังจ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในแต่ละปีเพื่อซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับดิจิทัลให้กับอวตารของตน ซึ่งความเต็มใจที่จะใช้จ่ายในโลกดิจิทัลนั้นอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่าง Meta “การที่ผู้คนมีสินค้าดิจิทัลและคลังเก็บของดิจิทัล ซึ่งสามารถย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ นั่นจะเป็นเทรนด์การลงทุนครั้งใหญ่ในอนาคต” ซักเคอร์เบิร์กกล่าวในการรายงานผลประกอบการเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
สิ่งที่น่าสนใจคือ โลก Metaverse ใน Snow Crash ยังใช้สกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ารหัส ซึ่งคล้ายกับคริปโตเคอร์เรนซีในปัจจุบัน และนวนิยายเรื่องนี้ยังบุกเบิกแนวคิดในการซื้อในอสังหาริมทรัพย์เสมือนจริงในโลก Metaverse อย่างที่มีการซื้อ-ขายมาสักพักบนแพลตฟอร์มเสมือนจริงที่เปิดในบล็อกเชนแล้วอย่าง Decentraland และ The Sandbox
อะไรที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลก Metaverse เร็วๆ นี้ และมีผลเสียอะไรบ้างที่อาจเกิดขึ้นได้?
แม้ว่าไอเดียโลก Metaverse จะถูกพัฒนาออกมาเสร็จตามแผนทั้งหมดที่วางไว้แล้ว มันอาจต้องใช้เวลาอีกสักพักหนึ่งแน่ๆ ที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก่อนที่จะให้ผู้ใช้งานหลายล้านคนกรูกันเข้ามาในโลก Metaverse นี้ แม้แต่ซักเคอร์เบิร์กเองก็ยังดึงสติของผู้คนที่คาดหวังไว้ว่า Meta อาจต้องใช้เงินลงทุนอีกหลายพันล้านดอลลาร์และใช้เวลาอีกหลายปีก่อนที่ Metaverse จะเสร็จสมบูรณ์
โดยเงินจำนวนมากเหล่านี้จะถูกใช้ไปกับการพัฒนาแว่นตา VR ที่มีคุณภาพสูงและไม่แพง และสิ่งที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้นคือ Meta กำลังพัฒนาผิวหนังอัจฉริยะที่มีเซ็นเซอร์รับสัมผัสความละเอียดสูง ซึ่งจะช่วยจำลองความรู้สึกทางกายภาพของการสัมผัสในโลกเสมือนจริงอีกด้วย
ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะทำให้ผู้คนต่างเสพติดการเข้าสู่โลก Metaverse เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง Snow Crash ที่มีตัวละครบางตัวเกิดการเสพติดโลก Metaverse จนส่งผลเสียต่อสุขภาพ ซึ่งคนเหล่านี้จะอยู่ในโลก Metaverse ตลอดเวลา ไม่เคยตัดการเชื่อมต่อออกมา และจะหลีกเลี่ยงโลกแห่งความเป็นจริงในทุกกรณี
ซึ่งการเสพติดนี้อาจเกิดขึ้นจากการคาดการณ์ของซักเคอร์เบิร์กที่บอกว่า Meta เป็นสถานที่ที่คุณจะสามารถทำเกือบทุกอย่างที่คุณจินตนาการได้ ทั้งพบปะกับเพื่อนและครอบครัว ทำงาน เรียนรู้ เล่น ช้อปปิ้ง และสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้
ทั้งนี้ผู้คนต่างมีความกังวลต่อ Meta มากขึ้น เมื่อบริการเดิมของบริษัทอย่าง Facebook และ Instagram ก็ก่อให้เกิดการเสพติด และยังมีข้อมูลภายในของบริษัทหลุดออกมาว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้อีกด้วย
และเห็นได้ชัดว่าจะไม่มีใครหยุดซักเคอร์เบิร์กได้ โดยเขากล่าวกับสื่อเทคโนโลยีอย่าง The Verge ว่า “นวนิยายเล่มนี้มีบรรยายถึงโลก Metaverse ว่ามีสภาพแวดล้อมที่แย่ แต่ผมคิดว่า Metaverse ของผมไม่จำเป็นต้องเป็นแบบก็ได้นะ”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่จาก Facebook เป็น ‘Meta’ สะท้อนความทะเยอทะยานที่ต้องการเป็นมากกว่า ‘บริษัทโซเชียลมีเดีย’ และมุ่งสู่ Metaverse
- Nike เตรียมบุก Metaverse! หลังยื่นจดเครื่องหมายการค้า เปิดรับนักออกแบบใหม่ เพื่อขายรองเท้าผ้าใบและเครื่องแต่งกายใน ‘โลกเสมือนจริง’
- โลกเสมือน Metaverse ของ Microsoft กำลังมา! เน้นไปที่ซอฟต์แวร์ระดับองค์กรก่อน เริ่มต้นด้วย PowerPoint และ Excel
- เปิดโผ 10 บริษัททรงพลัง ขับเคลื่อน Metaverse กระหึ่มโลกจริง
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP