×

GPSC – 4Q65: ขาดทุนสุทธิน่าผิดหวัง

15.02.2023
  • LOADING...
GPSC

เกิดอะไรขึ้น:

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) รายงานขาดทุนสุทธิ 436 ล้านบาทใน 4Q65 แย่กว่าคาด โดยมีสาเหตุมาจากต้นทุนเชื้อเพลิง (ส่วนใหญ่เป็นถ่านหิน) ที่สูงขึ้น และรายการพิเศษ (ค่าตัดจำหน่ายของ Glow Energy Phase 2 ที่ 270 ล้านบาท) 

 

แม้ว่าจะมีการปรับค่า Ft เต็มไตรมาสที่ 0.9343 บาท/kWh กำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 21 ล้านบาท (ลดลง 99%YoY และ 97%QoQ) โดยได้รับผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น การหยุดเดินเครื่องนอกแผนงานของ GHECO-One และ Glow Energy Phase 5 และส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงจาก XPCL (โรงไฟฟ้าพลังน้ำ) โดยมีสาเหตุมาจากผลกระทบทางฤดูกาล 

 

สำหรับกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 891 ล้านบาท ลดลง 88% แย่ที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงสูงและราคาขายไฟฟ้าที่ยังปรับขึ้นได้ไม่มาก  

 

กระทบอย่างไร:

ราคาหุ้น GPSC ปรับเพิ่มขึ้น 5.11%DoD สู่ระดับ 72.00 บาท ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 0.02%DoD สู่ระดับ 1664.89 (ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์)

 

แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:

InnovestX Research มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อแนวโน้มผลประกอบการของ GPSC เพราะแรงกดดันจากต้นทุนพลังงานลดลง โดยราคา LNG คาดว่าจะค่อยๆ ลดลงหลังจากทำจุดสูงสุดในเดือนมกราคม 2566 และมีก๊าซจากแหล่งในประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ราคาถ่านหินก็คาดว่าจะลดลงจาก 423 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันใน 4Q65 สู่ราคาเฉลี่ยน้อยกว่า 300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2566 

 

ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอินเดีย (AEPL) จะพลิกกลับมามีกำไรที่ 200 ล้านบาทในปี 2566 โดยอิงกับกำลังการผลิตดำเนินงานในปัจจุบัน ฟื้นตัวจากขาดทุนสุทธิ 301 ล้านบาทในปี 2565 ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น 25% ใน CFXD ในปี 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 100-150 ล้านบาท โดยที่กำลังการผลิตทั้งหมดจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี 2566 

 

นอกจากนี้โครงการโรงไฟฟ้า SPP Replacement (Glow Energy Phase 2) ของ GPSC ก็เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปเรียบร้อยแล้วใน 4Q65 โครงการนี้จะช่วยให้ประสิทธิภาพโดยรวมของโรงไฟฟ้า SPP ปรับตัวดีขึ้น นอกเหนือจากผลประโยชน์จากการผนึกกำลังกับ Glow SPP 

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน InnovestX Research ให้เรตติ้ง Outperform สำหรับ GPSC ด้วยราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี DCF ที่ 84 บาทต่อหุ้น แม้ว่าผลการดำเนินงานจะสะดุดลงในปี 2565 แต่เชื่อว่าปีที่เลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว และกำไรปี 2566 จะฟื้นตัวอย่างโดดเด่น โดยได้แรงหนุนจากราคาขายที่สูงขึ้นและต้นทุนเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มลดลง

 

ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ต้นทุนเชื้อเพลิงสูงกว่าคาด การเลื่อนปรับค่า Ft ผลตอบแทนจากโครงการลงทุนใหม่ต่ำกว่าคาด และการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 


บทความที่เกี่ยวข้อง


 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising