×

“จงสนุกไปกับมัน” สัมภาษณ์พิเศษ​ Lyndon Cormack ผู้ก่อตั้ง Herschel Supply กับบทเรียนตลอด 10 ปีที่ออกเดินทาง

13.12.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 MINS. READ
  • Herschel Supply คือแบรนด์ไลฟ์สไตล์สัญชาติแคนาดาที่เริ่มต้นขึ้นในปี 2009 จากแนวคิดของสามพี่น้องตระกูล Cormack Jason, Jamie และ Lyndon ที่อยากทำกระเป๋าให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้คน ด้วยดีไซน์ที่ไม่น่าเบื่อ
  • Lyndon มองว่าตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา Herschel ต้องพบเจอกับเรื่องราวมากมายที่ถาโถมเข้ามา ทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขามักจะเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ
  • “อย่าลืมความสนุก” และความตั้งใจจริงที่อยากเข้ามาอยู่ในอุตสาหกรรมนั้นๆ คือสารที่ Lyndon อยากส่งต่อให้กับผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจทั่วโลก

จำได้ว่าเมื่อสักประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว ในสมัยที่เรายังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย กระเป๋าของ ‘Herschel Supply’ หรือที่หลายๆ คนเรียกกันติดปากแบบรวบรัดว่า Herschel ดูจะเป็นแบรนด์ที่เริ่มได้รับความนิยมมากๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มเพื่อนฝูงและคนรุ่นราวคราวเดียวกัน

 

ด้วยดีไซน์ที่เท่ คลาสสิก เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความร่วมสมัย ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน กระเป๋าของ Herschel จึงมีเสน่ห์และชวนให้หยิบขึ้นมาสวมสะพายใช้งานมากกว่ากระเป๋าของใครเพื่อน

 

จากจุดเริ่มต้นของแนวคิดที่อยากพัฒนากระเป๋าให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้คน ฉีกตำรา ‘ความน่าเบื่อ’ ของงานออกแบบกระเป๋าสะพายหลังในอดีต สามพี่น้องตระกูล Cormack Jason, Jamie และ Lyndon จึงได้ร่วมกันก่อตั้งแบรนด์ Herschel ขึ้นมาในปี 2009 โดยหยิบเอาชื่อภูมิลำเนาที่พวกเขาเคยอาศัยในวัยเด็กมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์ 

 

หลังออกเดินทางปักหมุดหมายไปทั่วโลกจนก้าวขึ้นมายืนหยัดอยู่ในแถวหน้าของอุตสาหกรรมแฟชั่นได้อย่างมั่นคง ปัจจุบัน Herschel แบรนด์ไลฟ์สไตล์สัญชาติแคนาดามีอายุครบ 10 ปีบริบูรณ์พอดี วางจำหน่ายในกว่า 94 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ทั้งยังถูกสะพายอยู่บนหลังของคนจำนวนกว่า 10 ล้านจนเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว

 

THE STANDARD มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ Lyndon Cormack ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Herschel ในระหว่างที่เขาเดินทางมาร่วมงานเปิดตัวช้อปใหม่ที่สิงคโปร์ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอด 10 ปีที่ผ่านมากับแบรนด์ของพวกเขา ทั้งความสำเร็จ ความผิดพลาด สิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจครอบครัว ตลอดจนบทเรียนที่เขาอยากส่งต่อให้กับผู้ประกอบการทั่วโลก

 

 

10 ปีที่ผ่านมาของคุณและ Herschel เป็นอย่างไรบ้าง ธุรกิจที่คุณเริ่มทำขึ้นมายังเดินไปตามแนวทางที่คุณคาดหวังอยากจะให้เป็นหรือเปล่า

สิ่งที่เจ๋งที่สุดของการเริ่มสร้างแบรนด์ Herschel ก็คือ ไลน์ผลิตภัณฑ์ที่เราผลิตขึ้นตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้วก็ยังอยู่ในไลน์ผลิตภัณฑ์ที่เราจำหน่ายในวันนี้ นั่นเป็นเพราะว่าเราชอบในดีไซน์ที่สดใหม่ทันสมัย แต่ขณะเดียวก็ยังคงความคลาสสิกในตัวมันเอง ซึ่งแบรนด์ที่เราชื่นชอบหลายๆ แบรนด์ไม่ว่าจะเป็น Levi’s, Ray-Ban, Vans หรือ Nike ต่างก็เชิดชู ‘ความคลาสสิก’ (แจ็กเก็ตยีนส์ที่ Lyndon ใส่ในวันนั้นก็ติดแท็กสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของ Levi’s)

 

แน่นอนว่า Herschel ยังเดินไปในทิศทางที่เราต้องการให้เป็น เราโชคดีจริงๆ ที่เราได้เห็นความสำเร็จแบบถล่มทลาย สินค้าของเราถูกจำหน่ายในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก และยังถูกสะพายอยู่บนหลังของผู้คนมากกว่าหลาย 10 ล้านคน ซึ่งทุกคนยังได้สร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ บอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาเองว่าการเดินทางที่ดีหมายความอย่างไร อะไรคือการได้ออกไปเจอเรื่องราวเจ๋งๆ ที่เกิดขึ้นรอบโลกใบนี้ สำหรับเรามันจึงเป็นการเดินทางที่วิเศษมากๆ และโชคดีที่ทุกๆ อย่างที่เราทำมามันออกมาดี

 

เคยคิดไหมว่าแบรนด์ของคุณจะเดินทางมาถึงปีที่ 10 แล้วอะไรคือเรื่องที่คุณได้เรียนรู้ตลอดช่วงเวลาของการทำแบรนด์ Herschel

ผมคิดอยู่ตลอดว่ามันจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ วัน เราเริ่มต้นช่วง 5 ปีแรกของการทำธุรกิจเพื่อพยายามหาทุกวิถีทางที่จะเข้าใจในทุกๆ เรื่อง คุณจะได้เรียนรู้มากๆ ในช่วงเวลาหลายปีนั้นราวกับว่ามันเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของคุณเลยก็ว่าได้

 

เมื่อคุณนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาใช้กับช่วง 4-5 ปีต่อมา คุณจะเก่งขึ้นในทุกๆ เรื่องที่คุณทำ ผมเลยคิดว่าสิ่งที่เราได้ทำไปในตลอดเกือบ 10 ปีที่ผ่านมาคือการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แล้วต่อยอดเพื่อเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจ มันเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจมากๆ ทุกๆ งานที่เกิดขึ้นจากทีมงานของเรา พาร์ตเนอร์ผู้ผลิต ล้วนแล้วแต่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นกว่าเดิมตลอดเวลา และเราก็ยังตั้งตารอคอยอีก 10 ปีข้างหน้าที่อัศจรรย์อยู่

 

จงตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้เสมอ เพราะคนที่สำคัญที่สุดบนโลกใบนี้ไม่ใช่ตัวคุณ แต่คือลูกค้า พยายามหาให้เจอว่าพวกเขาต้องการอะไร และจะช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้อย่างไร

 

 

10 ปีที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรมากมายหลายอย่าง เพราะเราเริ่มทำธุรกิจจากศูนย์ มันเลยเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากๆ สำหรับทุกๆ คน ผมจะรู้สึกชื่นชมมากๆ เวลาได้เห็นผู้ประกอบการหรือนักธุรกิจคนไหนด้วยกันเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ เพราะอย่างที่เราทราบกันว่า ‘มันไม่ง่ายเลย’ 

 

ถ้ามองจากมุมมองคนนอกเข้ามาในบริษัทของเรา Herschel คือแบรนด์ที่ดูจะประสบความสำเร็จมากๆ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นสมบูรณ์แบบเสมอไปนะ มีบ้างที่เราต้องเผชิญหน้ากับความผิดพลาดสลับกันไป แต่ในฐานะทีม เราฉลองให้กับความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลว แล้วเราก็ค่อนข้างจริงจังมากๆ กับการหาวิธีลุกขึ้นจากความผิดพลาด เรียนรู้ที่จะทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้นเพื่อที่เราจะสามารถส่งต่อประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับลูกค้าของเรา

 

เพราะฉะนั้นจากมุมมองของทุกๆ สตาร์ทอัพหรือใครก็ตามที่อาจจะกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจในวันนี้ ทุกคนต่างรู้อยู่แล้วว่ามันไม่อะไรที่ง่ายแน่ๆ แต่จงตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้เสมอ เพราะคนที่สำคัญที่สุดบนโลกใบนี้ไม่ใช่ตัวคุณ แต่คือลูกค้า พยายามหาให้เจอว่าพวกเขาต้องการอะไร และจะช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้อย่างไร เพราะในที่สุดแล้วคุณจะได้ ‘ความสำเร็จ’ กลับมาเป็นรางวัลแลกเปลี่ยน

 

ทั้งหมดที่คุณหมายถึงก็คือกลยุทธ์แบบ ‘Customer Centric’ ใช่ไหม

แน่นอน! คุณต้องให้ความสำคัญกับมัน ถ้าคุณไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาได้ ก็จะไม่มีใครสนใจคุณ เหตุผลก็เพราะว่าสุดท้ายแล้วเราต้องการจะช่วยให้การเดินทางไปยังที่ต่างๆ สำหรับผู้คนกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เราต้องการจะช่วยให้พวกเขาเกิดความรู้สึกดีๆ ได้ง่ายขึ้น และอยากจะทำให้แน่ใจว่าพวกเขาได้ออกไปสำรวจหรือค้นพบสถานที่ใหม่ๆ รวมถึงแบ่งปันและแชร์ประสบการณ์ที่ได้รับบนโลกโซเชียล

 

พวกเขามีชุมชนขนาดเล็กและใหญ่ที่สามารถแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเองได้ เราอยู่ในช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมมากๆ เพราะการเกิดขึ้นของโซเชียลมีเดียและผู้ใช้งานทั้งหลายมีส่วนช่วยให้ผู้คนได้ออกเดินทางค้นหาสิ่งต่างๆ ที่น่าสนใจบนโลกใบนี้ได้มากมาย แถมยังแบ่งปันมันให้กับคนอื่นได้ต่ออีกด้วย

 

ถ้าต้องสรุปช่วงเวลาที่ผ่านมา คุณคิดว่าอะไรคือองค์ประกอบสำคัญที่พา Herschel มาถึงจุดนี้ได้

ทุกๆ เรื่องราวความสำเร็จที่เกิดขึ้นย่อมมาควบคู่กับสถานที่ที่ถูกต้องกับช่วงเวลาที่ใช่ ผมอยากจะยกตัวอย่างแบบนี้ สมมติว่า สตีฟ จ็อบส์ ผลิต iPhone เร็วขึ้นกว่าเดิมสัก 10 ปี มันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ เพราะฉะนั้น ‘จังหวะเวลา’ มันคือทุกอย่าง 

 

เราเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผู้คนเริ่มเดินทางสัญจรไปยังสถานที่ต่างๆ ด้วยวิธีที่หลากหลาย พวกเขาเริ่มใช้บริการจักรยานสาธารณะ เริ่มเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น ในขณะที่อีกหลายๆ คนก็เริ่มให้ความสำคัญกับ ‘แบรนด์’ และการออกไปค้นพบสิ่งใหม่ๆ 

 

ผมคิดว่า Herschel สามารถเจาะลึกเข้าไปยังคุณค่าทางอารมณ์ของผู้บริโภคกลุ่มที่สนใจใคร่รู้ใคร่สงสัย เปิดกว้างรับสิ่งใหม่ๆ เหล่านั้นได้ว่าพวกเขาออกไปแสวงหาหรือค้นพบสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีใด หรือต้องการจะชื่มชนงานออกแบบในชีวิตของพวกเขา และมันก็เกิดขึ้นเพราะพวกเขาไม่ได้มีทางเลือกให้มากมายที่เกี่ยวข้องกับกระเป๋าสะพายหลัง 

 

ถ้านับจนถึงวันนี้ การสวมกระเป๋าสะพายหลังไว้ที่หลังของคุณก็ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่คุณจะเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ มันง่ายกว่า ช่วยให้คุณพกพาสิ่งของที่จำเป็น และยังช่วยให้คุณสามารถสัญจรไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเดินทางระยะใกล้ ไกล หรือไปทำงาน ผมมองว่ามันเป็นอะไรที่เจ๋งมากๆ ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้คนในชีวิตประจำวันแต่ละวันของพวกเขา

 

สำหรับผมแล้วความสำเร็จหมายถึงการได้ทำงานร่วมกับทีมที่ยอดเยี่ยม คนที่เจ๋ง ความสำเร็จหมายถึงการทำงานร่วมกับทีมในองค์กรของเรา การเล่าเรื่องราวที่ยอดเยี่ยม การทำดีกับคนอื่น หรือการสร้างแรงบันดาลใจที่เราสามารถส่งต่อให้กับคนรุ่นหลังเพื่อให้ทำสิ่งที่แตกต่างออกไป เราไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงทุกวันเพื่อเงิน แต่เราตื่นขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดเรื่องราว เพื่อทำงานกับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ และออกเดินทางไปค้นพบโลกใหม่ ส่วนตัวผมมองว่าความสำเร็จคือสิ่งที่วัดได้ยาก มันเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ แต่นี่คือความสำเร็จของเรา

 

Herschel มีมุมองที่กว้างมากเกี่ยวกับการทำงานแบบ Collaboration เพราะเราไม่ได้มีลูกค้าเป็นคนกลุ่มเดียว ผลิตภัณฑ์ของเราให้ความสำคัญกับดีไซน์แบบ Democratic

 

 

แต่ก็ไม่ใช่ผู้ประกอบการทุกคนที่จะประสบความสำเร็จเหมือนอย่างคุณหรือ Herschel ถ้าอย่างนั้นความล้มเหลวคือเรื่องที่ ‘ไม่ดี’ หรือเปล่า

ผมอาจจะไม่รู้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองความสำเร็จกันอย่างไร เพราะบางคนอาจจะมองแค่ความสำเร็จด้านการเงิน แต่ผมคิดว่าผู้ประกอบการหลายคนอาจจะเหมือนกับผมก็ได้ ไม่รู้สิ ผมบอกได้แต่ในมุมของผม 

 

บางทีคุณอาจจะมีร้านเล็กๆ สวยๆ สักร้าน หรือร้านเครื่องเขียนสวยๆ ที่อาจจะไม่ได้ใหญ่โตมากตั้งอยู่สักแห่งในสิงคโปร์ กรุงเทพฯ หรือปารีส แม้จะไม่ได้สร้างรายได้มากมายมหาศาล แต่ถ้าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เติมเต็มความต้องการของตัวเอง มันก็อาจจะเป็นความสำเร็จแล้ว

 

ทุกๆ คนต่างก็มีภารกิจและทิศทางที่ตัวเองต้องการจะมุ่งไป การมองเรื่องเงินเป็นผลลัพธ์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เราดีใจมากๆ ที่เรื่องราวของ Herschel สามารถสะท้อนหรือบอกเล่าความเป็นตัวตนของผู้คนบนโลกใบนี้ (การออกไปเดินทาง เปิดประสบการณ์ สัมผัสสิ่งใหม่ๆ) และก็ภูมิใจมากๆ ที่ได้เริ่มต้นทำแบรนด์ด้วยกันกับพี่ชายทั้งสองคน เราทำธุรกิจครอบครัว และเราก็ยังเป็นทั้งเพื่อน พาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ และพี่น้องที่ดีต่อกัน นี่แหละคือความสำเร็จในมุมมองของผม

 

เห็นคุณพูดถึงพอดี เราอยากรู้ว่าตั้งแต่เริ่มทำแบรนด์ Herschel มา พวกคุณเคยทะเลาะกันบ้างไหม

เคยทะเลาะกับพี่น้องของผมไหมน่ะเหรอ (ยิ้ม) แน่นอน มันสนุกดีนะ เป็นปกติที่ต้องเกิดเรื่องที่เราเห็นต่างกัน แน่นอนว่าเราไม่ได้เห็นพ้องต้องกันไปเสียทุกเรื่อง ไม่ใช่แค่กับ Herschel แต่เรื่องๆ อื่นในชีวิต บางทีเราก็ยังมีเรื่องที่เห็นไม่ตรงกันได้ มันไม่ต่างกันนะ แต่ที่ผมจะบอกก็คือ ถ้าเปรียบเทียบระหว่างการเจรจากับพี่น้องและเพื่อนร่วมงานแล้ว เรามักจะเลือกพูดจาหว่านล้อมกับเพื่อนร่วมงานของเรา พูดด้วยน้ำเสียงที่ซอฟต์ลง หรือบางทีก็พยายามเลี่ยงบทสนทนาที่จะนำไปสู่ความลำบากใจ

 

แต่เมื่อไรก็ตามที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นพี่ชายของคุณ ถ้า Jamie เอาไอเดียอะไรมาเสนอให้ผม ผมก็จะบอกว่า “ไม่ ไม่ชอบ” เขาก็จะถามว่า ทำไม ผมก็จะบอก ไม่รู้ ก็แค่ไม่ชอบ กับเพื่อนร่วมงานผมก็จะพูดอีกแบบ เช่น “ผมไม่แน่ใจว่ามันเจ๋งแล้วหรือยังนะ ไม่แน่ใจเลยว่ามันควรจะเป็นอย่างไรกันแน่” แต่กับ Jamie ผมก็แค่บอกว่า “ไม่ ไม่ชอบ” แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนสนิท พี่น้อง และพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจที่ดีต่อกัน

 

ถ้าอย่างนั้นคุณรักษาความสัมพันธ์ของคุณกับพี่น้องด้วยวิธีไหน

ก็แค่ให้ Jamie เห็นด้วยกับผมทุกครั้ง (หัวเราะ) ล้อเล่นนะ เขาไม่ได้อยู่ตรงนี้เพื่อปกป้องตัวเอง แต่ก็แค่ปฏิบัติกับคนอื่นๆ เหมือนกับที่คุณคาดหวังว่าจะได้รับการปฏิบัติที่ดีจากพวกเขา ผมหมายถึงทุกๆ คนที่เราทำงานด้วย คุณต้องปฏิบัติกับพวกเขาด้วยความเคารพ Jamie เองก็ปฏิบัติกับผมด้วยความเคารพตลอดเวลา เขาเชื่อใจผม ผมเชื่อใจเขา 

 

จงปฏิบัติกับคนอื่นเหมือนที่คุณคาดหวังจะได้รับการปฏิบัติจากเขา เราปฏิบัติกันแบบนี้ มันอาจจะมีเรื่องราวทะเลาะดราม่าใหญ่โตกันบ้าง แต่ผมก็แค่พูดเรื่องที่บันเทิงๆ เพราะพวกเราทำงานด้วยกันได้ดี พวกเราเป็นเพื่อนและครอบครัวที่ดีต่อกัน ครอบครัวของพวกเรา (ภรรยาและลูกๆ) ก็สนิทกันด้วย ลูกๆ ของพวกเราทุกคนเป็นเพื่อนที่ดีของกันและกัน เราหาทางออกกันได้ และมันก็เป็นเรื่องปกติไปแล้ว

 

‘Hello Kitty for Holiday 2019’ หนึ่งในคอลเล็กชันพิเศษที่ Herschel
และ Hello Kitty ได้ร่วมกันรังสรรค์

 

มีเรื่องไหนที่เคยรู้สึก ‘เสียดาย’ หรือเสียใจที่ไม่ได้ทำบ้างไหม

ไม่มีเลยนะ ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยผิดพลาดหรือล้มเหลว ไม่ใช่ว่าทุกๆ อย่างจะสมบูรณ์แบบ แต่มันกำลังอยู่ในช่วงก่อร่างสร้างฐาน เหมือนกับบางครั้งตอนที่คุณตอบข้อสอบไม่ถูก ก็แค่พยายามหาวิธีว่าครั้งหน้าจะตอบให้ถูกอย่างไร สำหรับผมไม่มีเรื่องที่ต้องมานั่งเสียใจเลย

 

เราต้องการจะทำงานร่วมกับคนเจ๋งๆ สร้างสรรค์เรื่องราวที่น่าสนใจต่อไป บางครั้ง Jamie และผมจะบอกว่า ‘เรื่องที่น่าเสียดายที่สุด’ คือเราน่าจะเริ่มทำ Herschel เร็วกว่านี้ แต่ก็เช่นกัน ตอนนั้นจังหวะเวลามันอาจจะยังไม่เอื้ออำนวย ถ้าเริ่มเร็วไป บางทีเราอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเหมือนที่ตอนนี้ก็ได้ใครจะไปรู้

 

ถ้ามีผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ โดยเฉพาะบางคนที่รู้จักผม หรือกำลังฟังอยู่ (อ่าน) และมีธุรกิจของตัวเอง พวกเขารู้ว่ามันยากแต่มันก็คุ้มค่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราทำผิดพลาดบ้างแต่เราก็แก้ไขมัน เรียนรู้จากมัน และทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ถ้าเราไม่ล้มเหลว เราก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำก็ได้ว่าเราพยายามมากพอแล้วหรือยัง

 

ในมุมมองของผม Herschel ประสบความสำเร็จมากๆ แต่มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เราเรียนรู้จาก 10 ปีที่ผ่านมา ถ้าเทียบ Herschel เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เรายังเป็นแค่เด็ก 10 ขวบเอง ยังมีเรื่องให้เรียนรู้อีกมาก ยังมีประสบการณ์ให้สั่งสมและเพาะบ่มอีกเยอะเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นตลอดเวลา เพราะฉะนั้นสำหรับ Herschel เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกล เราตั้งเป้าหมายให้มันจะเป็นแบรนด์ที่อยู่ตลอดไป คำว่าตลอดไปก็ดูจะนานเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราก็แค่เดินทางตามเส้นทางนี้ต่อไป

 

 

วิสัยทัศน์ที่สำคัญที่สุดของ Herschel ในตอนนี้คืออะไร อะไรคือส่ิงที่พวกคุณจะให้ความสำคัญต่อจากนี้

เรามีความสมดุลทางธุรกิจมากๆ ทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ไอเดียของเราคือการขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคเหล่านั้นให้ครอบคลุมและหลากหลาย แม้ว่าแบรนด์ของเราจะเป็นแบรนด์แคนาดา แต่ธุรกิจของเราในอาเซียนก็กำลังดีวันดีคืน เช่นเดียวกับในออสเตรเลีย และยังแข็งแกร่งมากๆ ในยุโรปตะวันตก ผมเลยมองว่าวิสัยทัศน์ของ Herschel คือการผสมผสานวัฒนธรรมของทุกประเทศเข้าด้วยกัน พยายามทำความเข้าใจว่าการเป็นแบรนด์ระดับโลกจริงๆ ต้องทำอย่างไร เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ของเราในทุกๆ ที่ที่เราเดินทางไป

 

เรายังโฟกัสเรื่องการเดินทางเป็นหลัก เพราะเราคือแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่หลงใหลในการเดินทาง เราจะย้อนกลับไปดูสิ่งที่เราได้ทำตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา แล้วพัฒนาให้ทุกๆ สิ่งและทุกๆ ผลิตภัณฑ์ที่เราเคยสร้างขึ้นมากลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่องด้วยแนวคิดการไม่หยุดพัฒนา เพราะฉะนั้น Herschel ก็จะให้ความสำคัญกับเรื่องการเดินทาง บอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจผ่านกระเป๋าสะพายหลัง และขยายช่องทางการจำหน่ายของเราให้ครอบคลุมทั่วโลก

 

จงสนุกตลอดเวลา สื่อสารผ่านแบรนด์ของตัวเองด้วยความจริงใจและตรงไปตรงมา ย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าเราเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ก็เพราะ ‘ความสนุกที่ได้ทำ’ และอยากเข้ามามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมนี้

 

 

ครั้งหนึ่งคุณเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า DNA ของ Herschel คือการได้ Collab ร่วมงานกับแบรนด์อื่นๆ ทำไมคุณถึงให้ความสำคัญกับโปรเจกต์พวกนี้มากเป็นพิเศษ แล้วแต่ละครั้งที่ Herschel จะร่วมงานกับแบรนด์ไหน คุณมีวิธีการเลือกแบรนด์ที่จะมาเป็นพาร์ตเนอร์อย่างไร

Herschel มีมุมองที่กว้างมากเกี่ยวกับการทำงานแบบ Collaboration เพราะเราไม่ได้มีลูกค้าเป็นคนกลุ่มเดียว ผลิตภัณฑ์ของเราให้ความสำคัญกับดีไซน์แบบ Democratic ที่ตอบสนองความชื่นชอบของคนทุกคน แบรนด์ของเราเกิดขึ้นเพื่อคนที่รักงานดีไซน์ เราไม่ได้ยึดติดกับสไตล์หรืองานออกแบบรูปแบบใดรูปแบบเดียว

 

ทุกๆ โปรเจกต์ที่เกิดขึ้นระหว่าง Herschel กับแบรนด์อื่นๆ ตัวอย่างเช่น Hello Kitty, Coca Cola, Oakley หรือ New Balance ล้วนแล้วแต่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่มันก็ช่วยให้เราสามารถกระจายความหลงใหลและแพสชันที่มีในงานออกแบบด้วยผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน เปรียบเทียบแล้ว Herschel เหมือนมีผ้าใบผืนยักษ์เป็นของตัวเองที่สามารถสร้างเรื่องราวให้เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง เรามีสินค้าเจ๋งๆ ที่สามารถ Collab และชูไอเดียที่เราและพาร์ตเนอร์มีร่วมกันได้

 

‘Achromatic Basquiat’ หนึ่งในคอลเล็กชันพิเศษที่ Herschel
และศิลปินอย่าง Jean-Michel Basquiat ได้ร่วมกันรังสรรค์

 

ส่วนถามว่าเรามีวิธีการเลือกพาร์ตเนอร์อย่างไร ผมคิดว่าส่วนใหญ่แล้วทุกการตัดสินใจของ Herschel มักเกิดขึ้นจาก ‘สัญชาตญาณ’ แต่โดยหลักการแล้วเราจะให้ความสำคัญกับการสร้างประโยชน์ร่วมกันกับทุกฝ่ายเป็นหลัก เราทำอะไรที่ดีสำหรับพวกเขา เช่นเดียวกับพวกเขาที่ทำอะไรดีสำหรับเรา นั่นแหละส่ิงที่เรียกว่าการทำงานร่วมกันและสิ่งที่เรียกว่าพาร์ตเนอร์ชิปที่แท้จริง มากกว่าแค่การที่ฝ่ายใดฝ่ายเดียวได้ประโยชน์ ส่วนใหญ่แล้ว Herschel จะมองหาพาร์ตเนอร์ที่สามารถทำงานร่วมกันในระยะยาว สามารถจะบอกเรื่องราวที่น่าสนใจร่วมกันได้ นั่นแหละคือส่วนที่สำคัญที่สุด 

 

ทุกวันนี้ใครๆ ก็พากันคุยแต่เรื่อง ‘Digital Disruption’ ขณะที่ฝั่งรีเทลเองก็ต้องเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญจากการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Herschel ได้รับผลกระทบอะไรจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบ้างไหม

Herschel ก็ขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เหมือนกัน เราแข็งแกร่งมากในการทำธุรกิจออนไลน์ เราได้ประโยชน์จากมันในแง่ของช่องทางเพื่อเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะลูกค้าที่มีสินค้าที่อยากได้ในใจแล้ว พวกเขาก็แค่เข้าไปซื้อมัน ประกอบกับสินค้าของเราส่วนใหญ่มีไซส์เดียว ขนาดเดียว มันเลยเป็นสินค้าที่เหมาะกับการขายออนไลน์มากๆ คุณไม่จำเป็นต้องลอง แค่ดึงสายรัดให้กระชับแค่นั้น ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าสตางค์หรือกระเป๋าทรง Duffle Bag เราสามารถเชื่อมโยงกับโลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดี 

 

สำหรับผม ผมมองว่าบรรยากาศของหน้าร้านหรือถนนช้อปปิ้งสตรีทถือเป็นต้นแบบของโซเชียลมีเดีย การได้ช้อปปิ้งกับเพื่อน ถามความเห็นพวกเขาว่าชอบตัวนี้ไหม ตัวนั้นผ่านไหม การได้เห็นสินค้าจริงและสัมผัสมันด้วยตัวเอง สิ่งเหล่านี้มันสำคัญมากๆ โดยเฉพาะกับคนที่รักเสื้อผ้าหรือผูกพันกับการช้อปผ่านหน้าร้าน

 

 Herschel Supply Flagship Store เซ็นทรัล เอ็มบาสซี
Photo: Herschel ประเทศไทย

 

ดังนั้น รีเทลไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบไหนก็ตาม ทั้งอีคอมเมิร์ซหรือบริกแอนด์มอร์ธาร์(หน้าร้านออฟไลน์) ทั้งคู่ก็ยังสำคัญไม่แพ้กัน กิจกรรมโปรดนอกเวลาของผมคือการช้อปปิ้ง ผมสนุกกับการได้ช้อปในโลกจริงๆ มากกว่าการซื้อของบนสมาร์ทโฟน ฉะนั้นถ้าถามว่าออนไลน์เป็นปัญหาไหม ผมว่าไม่เลยนะ มันไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะเราทำผลงานทั้งบนออนไลน์และออฟไลน์ได้ดีมากๆ

 

แนวคิดและความกังวลที่มีต่อ Digital Disruption อาจจะส่งผลกระทบเชิงลบกับเราน้อย แต่อาจจะหนักกับแบรนด์อื่นๆ แต่มันก็เป็นวิถีธรรมชาติ พวกเขาช้อปปิ้งกันตลอด 100 ปีที่ผ่านมา ผู้คนมีวิธีการช้อปปิ้งที่แตกต่างกันออกไป ส่ิงต่างๆ รอบตัวเราล้วนแล้วแต่วิวัฒนาการตลอดเวลา แบรนด์ที่ดีที่สุดในโลกก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอและต่อเนื่อง สำหรับเรา ‘ดิจิทัล’ เป็นหนึ่งในพาร์ตที่เราให้ความสำคัญมากๆ และมันก็ยังคงเป็นช่องทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคเสมอ

 

แล้ว AI หรือแมชชีนเลิร์นนิงล่ะ Herschel ได้นำเทคโนโลยีพวกนี้มาใช้งานบ้างไหม

เราใช้พวกมันในทุกๆ วันเพื่อประกอบการตัดสินใจ (Big Data และ AI) สำหรับแมชชีนเลิร์นนิงอาจจะไม่ แต่ข้อมูลเป็นส่ิงที่สำคัญและจำเป็นมากๆ เพราะข้อมูลจากผู้บริโภคนั้นจะบอกอะไรกับเราหลายอย่าง มันช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่า ‘อะไรคือส่ิงที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภค’ พวกเขาช้อปกันอย่างไร ทำไมพวกเขาถึงซื้อหรือไม่ซื้อของแต่ละชิ้น ช่องทางยอดนิยมคือช่องทางไหน เรายังต้องเรียนรู้และลองทำอะไรที่ต่างออกไปไหม ข้อมูลทั่วไปและข้อมูลทั้งหมดที่เราเก็บสะสมได้ถูกนำไปใช้เพื่อสร้างประโยชน์และพัฒนาแบรนด์ของเรา พวกเราทดสอบและเรียนรู้จากมันตลอดเวลาและสม่ำเสมอ

 

สุดท้ายถ้าตอนนี้คุณมีโอกาสจะคุยกับผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจทั่วโลก คุณอยากจะแนะนำหรือบอกอะไรกับพวกเขา

จงซื่อสัตย์ต่อตัวเองและแบรนด์ของคุณ ผู้ประกอบการต้องเสี่ยงเอาความคิดหรือไอเดียไปใช้กับธุรกิจของตัวเอง ยึดมั่นกับมัน จงสนุกตลอดเวลา สื่อสารผ่านแบรนด์ของตัวเองด้วยความจริงใจและตรงไปตรงมา ย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าเราเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ก็เพราะ ‘ความสนุกที่ได้ทำ’ และอยากเข้ามามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมนี้ 

 

การทำธุรกิจอาจจะเป็นเรื่องจริงจัง เคร่งเครียด หรือท้าทาย คุณจะต้องตัดสินใจเรื่องยากๆ เสมอ แต่จงอย่าลืมที่จะสนุกไปกับมัน อย่าลืมที่จะชื่นชมให้กับเหตุผลที่คุณเริ่มต้นทำมันในวันแรก เพราะแบรนด์ Herschel ของเราก็ฉลองให้ความสนุกไม่แพ้กับเรื่องอื่นๆ และเราก็จะทำมันต่อไป

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

FYI
  • ปัจจุบัน Herschel มีแฟลกชิปสโตร์รวมทั้งสิ้น 3 แห่งในประเทศไทย ประกอบด้วย เซ็นทรัล เอ็มบาสซี (ชั้น 3), สยามเซ็นเตอร์ (ชั้น M) และเมกาบางนา (ชั้น 2) ข้อมูลเพิ่มเติม: www.facebook.com/HerschelSupplyThailand/
  • สินค้าที่ขายดีที่สุดในไทยไล่ตามลำดับได้แก่ กระเป๋าสะพายหลัง Little America, กระเป๋าสะพายหลัง Settlement และกระเป๋าคาดเอว (ไหล่) Seventeen
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising