Lightyear ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องล่าสุดจาก Disney และ Pixar ที่ได้ Angus MacLane หนึ่งในผู้กำกับจาก Finding Dory (2016) มารับหน้าที่พาผู้ชมออกเดินทางสู่อวกาศอันไกลโพ้น พร้อมด้วย Chris Evans ที่แฟนๆ MCU รู้จักเป็นอย่างดีจาก Captain America: The First Avenger (2011) มาร่วมให้เสียงพากย์เป็น Buzz Lightyear โดยภาพยนตร์ที่เราจะได้ชมกันนั้น จะเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวกับที่ Andy เด็กหนุ่มจาก Toy Story (1995) ได้ชมในวัยเด็ก และกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดของเล่น Buzz Lightyear
ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของ Buzz Lightyear (Chris Evans) สเปซเรนเจอร์ฝีมือฉกาจ ที่ได้รับภารกิจให้ทำการทดสอบเดินทางข้ามอวกาศ เพื่อพาผู้คนหลบหนีออกจากดวงดาวสุดอันตราย แต่เรื่องราวไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ Buzz ได้ทำการทดสอบขึ้นบินครั้งแรกเสร็จสิ้นโดยใช้เวลาเพียง 4 นาที แต่เขากลับเดินทางข้ามเวลาไปยังอนาคตในอีก 62 ปี 7 เดือน กับอีก 5 วันเสียอย่างนั้น ไม่เพียงเท่านั้น เขายังต้องเผชิญหน้ากับ Zurg กองทัพหุ่นยนต์สุดโหด Buzz จึงต้องร่วมมือกับ Izzy Hawthorne (Keke Palmer) สเปซเรนเจอร์ฝึกหัด และ Sox (Peter Sohn) หุ่นยนต์แมวอัจฉริยะในการหาวิธีแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้น
เพียงแค่ขึ้นชื่อว่าเป็นผลงานจากสตูดิโอ Pixar ก็น่าจะเป็นการการันตีคุณภาพได้ในระดับหนึ่งแล้วว่า ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนั้นๆ จะสามารถมอบความสนุกสนาน และเนื้อหาสาระดีๆ ให้กับผู้ชมได้อย่างแน่นอน ซึ่งเราก็ขอกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมว่า Lightyear คือภาพยนตร์ที่แฟนๆ ที่เติบโตมากับ Buzz Lightyear จะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
ด้วยความที่ผู้กำกับและทีมสร้างปักหมุดไว้ตั้งแต่ต้นว่า นี่คือภาพยนตร์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับของเล่น Buzz Lightyear ใน Toy Story ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นภาค Origin ทำหน้าที่พาผู้ชมไปทำความรู้จักประวัติความเป็นมาของ Buzz Lightyear รวมถึงที่มาที่ไปของสิ่งต่างๆ ที่เราเคยเห็นใน Toy Story แบบละเอียดทุกซอกทุกมุม
ยกตัวอย่างเช่น ทำไม Buzz Lightyear ชอบบันทึกเสียงของตัวเองตลอดเวลา ทำไมเขาถึงดูเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองและยึดมั่นในศักดิ์ศรีขนาดนั้น ไปจนถึงความสามารถของอุปกรณ์ต่างๆ ในชุดของเขา ฯลฯ ซึ่งการใส่กิมมิกต่างๆ ที่ชวนให้เราหวนคิดถึงความทรงจำวัยเด็ก และยังทำหน้าที่เล่าเรื่องราวควบคู่ไปด้วยเช่นนี้ คือหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เราเห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ และความใส่ใจในทุกรายละเอียดของผู้กำกับและทีมสร้างได้เป็นอย่างดี
นอกจากการพาผู้ชมไปทำความรู้จักกับ Buzz Lightyear แล้ว ทีมสร้างยังนำเสนอเรื่องราวของตัวละครใหม่ได้น่าสนใจและชวนติดตามไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ Sox หุ่นยนต์แมวอัจฉริยะที่นอกจากความน่ารักน่ากอดแล้ว Sox ยังทำหน้าที่สร้างสีสันและเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมได้ตลอดทั้งเรื่อง จนทำให้เราตกหลุมรักเจ้าแมวตัวนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นจริงๆ
รวมถึง Izzy Hawthorne สเปซเรนเจอร์ฝึกหัดที่เรียกได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามของ Buzz Lightyear อย่างชัดเจน ทั้งความร่าเริงสดใส มองโลกในแง่ดี แต่ขณะเดียวกันเธอก็เป็นคนที่ไม่มั่นใจตัวเอง ไม่กล้าตัดสินใจ จนชอบทำอะไรผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง เรื่องราวของ Izzy จึงเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่เข้ามาเสริมความเข้มข้นให้กับเรื่องราว และชวนให้เราอยากติดตามการเติบโตของเธอได้ทั้งแต่ต้นจนจบ
ขณะที่สองเพื่อนร่วมทีมอย่าง Darby Steel (Dale Soules) นักประดิษฐ์ระเบิดขี้โมโห และ Mo Morrison (Taika Waititi) ชายหนุ่มที่จับพลัดจับผลูเข้ามาเป็นสเปซเรนเจอร์ฝึกหัด แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีบทบาทสำคัญมากนักเมื่อเทียบกับ Izzy แต่ทั้งคู่ก็นับว่าเป็นคู่หูคู่ฮาที่มาสร้างสีสันให้กับภาพยนตร์ได้ดีไม่แพ้กัน
อีกหนึ่งจุดเด่นของ Lightyear ที่เกินความคาดหมายของเรามากๆ คือฉากแอ็กชันที่ทีมสร้างนำเสนอออกมาได้อย่างสนุกตื่นเต้น โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่มีการหยิบองค์ประกอบต่างๆ ที่ถูกหยอดทิ้งไว้ตลอดทางมาใช้ได้อย่างถูกจังหวะจนทำให้เราต้องปรบมือให้ รวมถึงการสร้างสถานการณ์วิกฤตต่างๆ ก็ยังชวนให้เราลุ้นระทึกไปกับตัวละครได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ในภาพรวมแล้ว Lightyear เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันจาก Disney และ Pixar ที่กลมกล่อมและครบรสจริงๆ ทั้งฉากแอ็กชันที่สนุกตื่นเต้น มุกตลกที่เรียกเสียงหัวเราะให้เราได้ตลอดทาง และเนื้อเรื่องที่อาจจะไม่ได้ลึกซึ้งกินใจจนทำให้เราต้องเสียน้ำตาเหมือนผลงานของ Pixar เรื่องอื่นๆ แต่มันก็ทรงพลังและคมคายในแบบฉบับของตัวเอง
สำหรับผู้ชมที่เติบโตมาพร้อมกับ Buzz Lightyear ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้คุณหลงรักเสือพรานอวกาศคนนี้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าอย่างแน่นอน ส่วนผู้ชมที่อาจจะไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมกับ Buzz Lightyear หรือ Toy Story มากนัก เราคิดว่า Lightyear ก็ยังเป็นแอนิเมชันแนวแอ็กชันผจญภัยที่สร้างความสนุกสนานให้กับคุณได้ไม่ยากเช่นกัน
Lightyear มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่
