ด้วยผลกระทบของ Digital Transformation ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกภาคส่วนมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่แวดวงอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แวดวงอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย รวมถึงผู้คนที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยกันอยู่น่าจะได้ยินคำว่า ‘Prop Tech’ กันบ่อยครั้งขึ้น
ว่ากันว่าหลังจากที่ ‘FinTech’ หรือเทคโนโลยีนวัตกรรมทางการเงิน ซึ่งมาแรงและมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต่อไปนี้ ‘Prop Tech’ ก็อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้เช่นเดียวกัน และนั่นคงจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความเป็น ‘บ้าน’ ของผู้คนยุค 4.0 ในปัจจุบันไม่มากก็น้อย
Prop Tech คืออะไร
‘Prop Tech’ ย่อมาจาก ‘Property Technology’ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘Real Estate Technology’ เป็นนวัตกรรมความก้าวหน้าซึ่งนำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ครอบคลุมตั้งแต่ ‘Smart Home’ หรือ ‘บ้านอัจฉริยะ’ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่ช่วยในเรื่องของขั้นตอนการซื้อ ขาย จอง เช่า การดำเนินการในพื้นที่ส่วนกลาง ไปจนถึงการชำระเงินและบริการหลังการขาย
Prop Tech ทำอะไรได้บ้าง
สำหรับคำถามนี้ เราสามารถแบ่งได้เป็น 3 ข้อใหญ่ๆ
1. ช่วยเพิ่มความสะดวกในเรื่องการซื้อขาย
สมัยก่อนเวลาที่จะซื้อบ้านหรือคอนโดฯ เราก็มักจะต้องตระเวนไปยังสำนักงานขายหรือบ้านตัวอย่าง มีการต่อคิวแย่งใบจองกันวุ่นวาย แต่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสมัยนี้ เราจึงไม่ต้องลำบากเช่นนั้นอีกต่อไป เพราะ Prop Tech จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถค้นหาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในแบบที่ตนต้องการได้ทั้งในเรื่องของสเปกและทำเล
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดคือ Virtual Reality ซึ่งเมื่อนำมาปรับใช้กับแวดวงอสังหาริมทรัพย์ก็จะสามารถช่วยในเรื่องของการซื้อขายได้เป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้ผู้บริโภคสามารถรับชมห้องตัวอย่างเสมือนจริงได้ราวกับชมห้องตัวอย่างจริงๆ อยู่ นอกจากนี้ยังสามารถจองยูนิตและโครงการที่ต้องการได้ผ่านทางระบบออนไลน์ ไปจนถึงการดำเนินงานด้านสินเชื่อและทำธุรกรรม ‘Online Payment’ ชำระเงินผ่านทางออนไลน์
2. ทำให้บ้านเป็น ‘บ้านอัจฉริยะ’ อันเปี่ยมสุข
หลายคนคงน่าจะคุ้นเคยกับคำว่า ‘Smart Home Solution’ หรือ ‘Intelligent Home’ ซึ่งเป็นเทรนด์ในการประยุกต์ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ‘Internet of Things’ มาเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น เพราะไม่ว่าเจ้าของบ้านจะอยู่ที่ไหนก็สามารถสั่งการความเป็นไปต่างๆ ภายในบ้านได้ผ่านแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟน ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ปิดไฟ, รดน้ำต้นไม้, สั่งดูกล้องวงจรปิดจากโทรศัพท์มือถือ, ปลดล็อก, ตั้งเวลาให้อาหารสัตว์เลี้ยง และอีกสารพัด ฯลฯ
โดยเทรนด์ของ ‘บ้านอัจฉริยะ’ ในตะวันตกนั้นเริ่มมีการพูดถึงและดำเนินระบบ Home Automation มานานหลายปีแล้ว แต่สำหรับเมืองไทยของเรานั้นยังไม่กว้างขวางสักเท่าใดนัก ด้วยส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะข้อจำกัดในสมัยก่อนซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่กำลังมีแนวโน้มว่าจะมีราคาถูกลงด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไป ดังจะเห็นได้ว่าเริ่มมีผู้ประกอบการชั้นนำในประเทศไทยที่ตื่นตัวและนำเรื่องของ Intelligent Home และ Prop Tech มาเป็นจุดเด่นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่กันมากขึ้น อันจะนำมาซึ่งการเพิ่มคุณภาพชีวิตและความสุขให้กับผู้อยู่อาศัยด้วย
3. ช่วยในเรื่องบริการหลังการขาย
หลายครั้งที่ผู้ซื้อหลายรายต้องผิดหวังจากการประสบปัญหาหลังการขาย เมื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์นำ ‘Prop Tech’ ไปปรับใช้ แอปพลิเคชันต่างๆ จะช่วยทำให้การสื่อสารระหว่างลูกบ้านและนิติบุคคลของโครงการเป็นไปได้อย่างสะดวกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลข่าวสารความเป็นไปต่างๆ ภายในโครงการ ฟีดแบ็กจากลูกบ้าน ไปจนถึงการจองบริการต่างๆ ในพื้นที่ส่วนกลาง เช่น การขอใช้บริการช่างหรือคนดูแลบ้าน การชำระเงิน ฯลฯ ตลอดจนการฝากขายหรือเช่า ซึ่งจะช่วยให้ดำเนินการเรื่องต่างๆ เป็นไปได้อย่างสะดวกมากขึ้น จึงเป็นประโยชน์ทั้งกับผู้อยู่อาศัยและนักลงทุน
- จากการเก็บข้อมูลของ Crunchbase ซึ่งเป็นฐานข้อมูลของสตาร์ทอัพ พบว่านักลงทุนทั่วโลกลงทุนใน Prop Tech รวมกันกว่า 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นเงินลงทุนในสหรัฐอเมริกาสูงถึง 950 ล้านเหรียญสหรัฐ
- SC Asset มองเห็นถึงความสำคัญของ Prop Tech โดยนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้กับทั้งโครงการที่เน้นหลัก ‘Human-Centric’ ซึ่งคำนึงถึงความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย และลงทุนกับสตาร์ทอัพอย่าง ‘Fixzy’ แพลตฟอร์มที่จะช่วยเหลือในเรื่องบริการหลังการขาย