‘Jim Thompson’ แค่ได้ยินชื่อ…ภาพของผ้าไหมไทยลวดลายสวยสง่าก็ผุดขึ้นมาอัตโนมัติดุจเครื่องสะท้อนจุดยืนความเป็นราชาผ้าไหมไทยในตำนานมากว่า 7 ทศวรรษ เส้นทางชีวิตของชายผู้จุดประกายอุตสาหกรรมผ้าไหมไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่โลกเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ ตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็กสู่การสวมหมวกสายลับ CIA ก่อนจะค้นพบเสน่ห์ของผ้าไหมไทย และหายตัวไปอย่างลึกลับในบั้นปลายชีวิต ทิ้งไว้ซึ่งปริศนาที่ไร้คำตอบ
แม้เรื่องราวชีวิตของ Jim Thompson จะหลงเหลือเพียงประวัติผ่านตัวหนังสือและคำบอกเล่า แต่วันนี้เราสามารถร่วมเดินทางและสัมผัสรสชาติชีวิตของเจ้าตัวได้อย่างครบรสผ่าน The O.S.S. Bar
The Vibe
The O.S.S. Bar ปักหลักอยู่ที่ Jim Thompson Heritage Quarter ไลฟ์สไตล์เดสติเนชันที่โอบล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวที่ให้ความร่มรื่นทันทีที่ก้าวเข้ามา
ตัวบาร์จะตั้งอยู่ชั้นสองของร้านอาหาร มีตู้ดิสเพลย์ภาพถ่ายในอดีต งานศิลปะ ของ Jim ให้เชยชมด้านหน้า
ภายในบาร์ตกแต่งในสไตล์วินเทจร่วมสมัยด้วยแรงบันดาลใจจากช่วงชีวิตอันลึกลับและการหายตัวไปของ Jim ในปี 2510
หากนั่งริมหน้าต่างก็จะได้เสพวิวธรรมชาติ ลำคลอง ตัวบ้านทรงไทย หรือจะแวะไปนั่งชิลโซนเอาต์ดอร์ก็ยังได้
แต่หากอยากเสพความครีเอทีฟแนะนำให้นั่งเคาน์เตอร์บาร์ เพราะขั้นตอนการทำดริงก์ของที่นี่ดูเพลินจริงๆ
พอตกดึกก็จะยิ่งได้ไวบ์ชิลไปอีกแบบ ซึ่งเข้ากันดีกับเพลงสไตล์ Retro-Jazz ที่เปิดคลอฟังเพลิน คุยได้สบายๆ แบบไม่ต้องตะโกนให้เจ็บคอ
The Taste
ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่เมนูซิกเนเจอร์ค็อกเทลที่ถูกถ่ายทอดผ่านเรื่องราว 4 บท จากช่วงเวลาและสถานที่สำคัญในการเดินทางของ Jim ซึ่งเมนูรูปเล่มของที่นี่ยังถูกเนรมิตให้เป็นเหมือนคู่มือภาคสนามด้วยการบอกคาแรกเตอร์รสชาติของค็อกเทลแต่ละแก้วผ่านโค้ดลับที่สื่อรสชาติ เช่น Sweet, Sour, Fizzy, Smooth และ Complex
ประเดิมด้วย Chapter I – Early Life ช่วงชีวิตครั้นเยาว์วัยของ Jim เขาเกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2449 ในเมืองกรีนวิลล์ รัฐเดลาแวร์ สหรัฐอเมริกา และได้อาศัยอยู่กับคุณปู่ผู้ซึ่งเป็นนายพล James Harrison Wilson ด้วยความที่คุณปู่มักจะให้ลูกอมกับ Jim อยู่บ่อยๆ The Grand Papa จึงกลายเป็นค็อกเทลรสหวานฉ่ำสดชื่นในบทแรกเริ่มนี้
เบสเป็น Lanna สปิริตไทยที่ถูกเพิ่มความหอมหวานให้ดื่มง่ายด้วยเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ น้ำแตงโม เมลอน ลูกอมมะม่วง และไข่ขาว
Chapter II – The O.S.S. Time Jim ใช้ชีวิตสนุกกับการเป็นเพลย์บอยอยู่ช่วงหนึ่ง แต่หลังจากที่มีสงครามโลกครั้งที่สอง Jim ตัดสินใจไปเป็นทหารตามรอยคุณปู่ และไปอยู่ประจำที่ป้อม Fort Monroe สปิริตแก้วนี้มีทั้งเตกีลา เมซคัล คัมปารี วานิลลาลิเคียวร์ เพิ่มความ Savory ด้วยเห็ดและ Old Bay ก่อนจะท็อปด้วย Bitter Water Floral และสปาร์กลิงไวน์ หากจิบแบบเพียวๆ ก็จะได้รสที่มีความลึกลับหน่อย แต่หากกัดใบผีเสื้อราตรีด้านบนด้วยจะได้รสเปรี้ยวที่ทำให้มิติรสชาติหลังจิบเปลี่ยนไปทันที เรียกว่าสั่งแก้วเดียวได้สองรส
ความสามารถในการทำงานของ Jim นั้นแพรวพราวจนถูกดึงตัวเข้าหน่วยงาน The Office of Strategic Services (OSS) ชื่อเก่าของ CIA อันเป็นที่มาของชื่อบาร์แห่งนี้นั่นเอง
หนึ่งในภารกิจที่ Jim ได้รับมอบหมายคือการบินมาที่ไทยเพื่อยับยั้งการสร้างรถไฟของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตอนนั้นญี่ปุ่นยอมแพ้เสียก่อน Jim เลยสามารถเข้ามาในประเทศได้อย่างเปิดเผย โดยเครื่องบินลำที่เขานั่งมาคือ C-47
แก้วนี้ใช้วิสกี้สองตัวจาก Glenfiddich 12Y และ Monkey Shoulder เพิ่มความซาบซ่าสดชื่นด้วย Aperol, ลิเคียวร์สมุนไพร และยูซุโทนิก ส่วนเครื่องบินกระดาษด้านบนนั้นเป็น Salted Edible Paper ทำจากข้าวอบควันเทียน ทวิสต์มาจากค็อกเทลที่ชื่อ Paper Plane แม้จะเป็น Spirit-Forward แต่ยังมีความบาลานซ์ ดื่มง่ายอยู่
มาถึงช่วงชีวิตที่ฝันเป็นจริง Chapter III – Thailand: A Dream Come True ด้วยความที่พ่อของ Jim เป็นนักธุรกิจด้านสิ่งทอ เขาเลยมีความหลงใหลในผ้าไหมไทยเป็นทุนเดิม เขาได้ไปหาแหล่งผลิตในกรุงเทพฯ และได้เจอโรงทอผ้าไหม ‘บ้านครัว’ ด้วยความที่เป็นช่วงยุคหลังสงคราม ธุรกิจต่างซบเซา Jim เลยสนับสนุนอุปกรณ์สีในการรังสรรค์ลวดลายบนผ้าต่างๆ เพื่อสร้างรายได้แก่ชาวบ้าน
จากนั้นชีวิตของ Jim ก็เปลี่ยนไปดุจฝันเป็นจริง เมื่อเขานำผ้าไหมไปให้เพื่อนที่เป็นดีไซเนอร์และได้รับการตีพิมพ์ลงนิตยสาร Vogue
อีกทั้งยังถูกนำไปเป็นคอสตูมละครเวทีอันโด่งดังอย่าง The King & I เขาจึงก่อตั้งบริษัทอย่างเป็นทางการในปี 1951
หนึ่งในช่วงชีวิตในยุคนั้น Jim ได้พบกับ ยี่ และ ตัน ผู้ซึ่งเป็นบัตเลอร์และเชฟชาวจีนคอยให้บริการ ซึ่งพวกเขาต่างสื่อสารกันได้ด้วยภาษามือตลอดช่วงที่พบกัน ค็อกเทล K.Yee & K.Tun แก้วนี้เลยถูกออกแบบเป็นลวดลายสไตล์จีน เสิร์ฟในลักษณะพอตไวน์ ภาชนะที่คนยุคก่อนใช้ใส่ไวน์จีนขณะเดินเรือสำเภาเพื่อให้เก็บได้นาน สังเกตได้ว่าการใส่เครื่องดื่มจะใส่จากก้นพอต ซึ่งความเก๋คือเมื่อเราคว่ำพอต เครื่องดื่มจะไม่หกออกมาด้วย
แก้วนี้มีทั้งสปิริตจากไทยอย่างโกษาปานทั้งจินและรัม, ลิเคียวร์ Maraschino, สปิริตจากจีนอินฟิวส์กับน้ำอัญชัน มะลิ และข้าวเหนียวดำ สีของเครื่องดื่มที่ได้เลยออกมาเป็นตามที่เห็น และมีการชูรสเปรี้ยวฟรุตตี้ฟลอรัลด้วยเลมอน Fentimans Rose Lemonade
Chapter IV – The Unsolved Mystery บทสุดท้ายที่บอกเล่าช่วงชีวิตสุดท้ายของ Jim หลังจากที่ Jim ได้อยู่ในไทยมาสักระยะใหญ่ หลังจากที่เขาได้เปิดช็อปในย่านสุรวงศ์ เขาก็ได้ออกเดินทางไปเที่ยวพักใจกับเพื่อนที่ต่างประเทศ และ Moonlight Cottage ที่ Cameron Highlands ในรัฐปะหัง ประเทศมาเลเซีย ก็เป็นสถานที่สุดท้ายที่เพื่อนได้เห็นเขา Jim ได้หายตัวไปอย่างสาบสูญโดยไม่พบศพจนกระทั่งทุกวันนี้
แก้วนี้เสิร์ฟมาพร้อมกับฐานไฟด้านล่างที่ทำให้ดริงก์ดูทอแสงสวยราวแสงจันทร์สมชื่อ เบสแก้วนี้เป็นสปิริตไทยอย่างจินจากเสน่หาและรัมจากฉลองเบย์ ลิเคียวร์ถั่ว และโทนิก ท็อปด้วยดอกหอมหมื่นลี้ ถือเป็นแก้วที่รีเฟรชชิ่งดีทีเดียว
นอกจากดริงก์ใน 4 บทชีวิตของ Jim แล้ว ที่นี่ยังมีเมนูลับสุดแรร์อย่าง Mystery (1,800 บาท++) โดยการเสิร์ฟของที่นี่จะให้เราใช้แก้วรับ Smoked Bubble ให้ลงกลางแก้วแล้วจูบลา ถือเป็นกิมมิกที่สนุกดี
ในส่วนของรสชาตินั้นบอกได้แค่ว่าสโมกจัดเต็มจัดหนักด้วยซิงเกิลมอลต์วิสกี้รสชาติสุดยูนีกจาก Octomore 14.1 สาเกกลิ่นแซนดัลวูดที่สะท้อนถึงการหายตัวไปในป่า และด้วยความที่รอบตัวร้านมีไม้ดอกอย่างลีลาวดีด้วย ร้านเลยตีความให้ดอกลีลาวดีเปรียบเสมือนบ้านที่ Jim น่าจะคิดถึงในช่วงที่หายตัวไป เลยนำลีลาวดีแห้งมาทำเป็นชาเพิ่มเติมในแก้วนี้ด้วย ใครที่ชอบดริงก์แนวสโมกน่าจะถูกใจ
Good for
ที่นี่เป็นสปีกอีซี่บาร์ที่เหมาะจะมานั่งปล่อยใจหลังเลิกงาน มาคนเดียวไม่เขิน มาเป็นก๊วนเมาท์ได้สบาย นอกจากดริงก์มีสตอรีที่น่าสนใจแล้ว พรีเซนเทชันยังชวนตื่นตาไปหมด ถือเป็นหนึ่งในบาร์ที่ต้องปรบมือให้กับไอเดียการออกแบบดริงก์จริงๆ
The O.S.S. Bar
Open: ทุกวัน เวลา 18.00-00.00 น.
Address: ซอยเกษมสันต์ 2
Facebook: https://www.facebook.com/theossbar
Instagram: https://www.instagram.com/theossbarbangkok/
Tel.: 06 3273 0719
Budget: ซิกเนเจอร์ค็อกเทล 450++ บาท
Map: