‘น้องหมาเป็นปลื้ม พ่อแม่หมาก็อุ่นใจ’ เหล่าพ่อแม่ผู้ปกครองลูกน้อยสี่ขาคงจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งกันดีว่าอะไรก็ตามที่สามารถมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่น้องหมาผู้เปรียบเสมือนลูกและแก้วตาดวงใจของเราได้ เราก็ล้วนยินดีที่จะพลิกแผ่นดินหามาให้ เพราะความสุขของเขาก็เป็นความสุขของเราเช่นกัน
ในขณะที่เราต่างออกไปดื่มด่ำกับอาหารมื้อพิเศษฉลองให้กับเทศกาลแห่งความสุขในสิ้นปีนี้ จะเป็นอย่างไรถ้าเราสามารถพาน้องหมาไปเปิดโลกมื้ออาหารที่รังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษสำหรับน้องท่ามกลางบรรยากาศสุดเฟสทีฟได้ด้วยเช่นกัน?
ใช่แล้ว! งานนี้เราจะพาน้องหมาสุดที่รักของเราไปดื่มด่ำกับไฟน์ไดนิ่ง 6 คอร์สของ ‘Bone A Pet Treat Pop-up Project’ โปรเจกต์สุดคิวต์ที่เป็นการจับมือกันของ Brute Hause แบรนด์ที่ทำสินค้าเกี่ยวกับการกินเพื่อสุขภาพกายและใจที่ดีสำหรับน้องหมาแบบครบวงจร และ Storge แบรนด์ที่เน้นผลิตภัณฑ์ขนมอบสดใหม่ด้วยวัตถุดิบเกรดพรีเมียมสำหรับน้องหมา ที่ตั้งใจเนรมิตมื้ออาหารพร้อมประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟในรูปแบบร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งสำหรับลูกน้อยสี่ขาโดยเฉพาะ
The Vibe
เดิมทีสตูดิโอที่ถูกเนรมิตเป็นร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งแห่งนี้เป็นพื้นที่ของ Brute Hause ซึ่งมีความตั้งใจที่จะจัดเป็นพื้นที่ทำกิจกรรม เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างน้องหมากับเจ้าของ ด้วยเทศกาลแห่งความสุขในปลายปีนี้ บรรยากาศภายในสตูดิโอเลยมีความโคซี่และอบอุ่นมากขึ้นไปอีก
และแล้วไม่ทันไรแขกคนสำคัญของเราก็มาถึง สำหรับน้องสี่ขาที่ทาง THE STANDARD LIFE มีโอกาสได้ต้อนรับในวันนี้คือครอบครัว The Samoyed Journey บิงซูและทูยู บิงซูเป็นน้องผู้หญิงวัยสองขวบกว่าและกำลังมีเบบี๋อยู่ด้วย ส่วนน้องทูยูที่แปลว่าน้ำเต้าหู้ในภาษาเกาหลี เป็นเด็กชายตัวน้อยวัยราว 4 เดือน เพียงแค่ก้าวเข้ามาในร้านน้องทั้งสองต่างตื่นเต้นและคึกคักกันสุดๆ ราวกับรู้ว่ากำลังจะได้ลิ้มรสมื้ออาหารแสนอร่อย
บริเวณที่น้องทั้งสองอยู่ก็คือ Photo Booth ที่มีเซ็ตติ้งโต๊ะอาหารและฉากหลังพร้อมให้บรรดาผู้ปกครองและลูกๆ ได้เก็บภาพโมเมนต์น่ารักๆ ด้วยกัน นอกจากนั้นทางร้านก็ยังมีช่างภาพคอยให้บริการอีกด้วย
เซ็ตติ้งพร้อมแล้วพร็อพก็ต้องมา! ที่นี่ยังมีชุดสวยๆ จากร้าน Perpet ให้น้องใส่ได้อีกต่างหาก
อย่างที่เห็นว่าบรรยากาศบริเวณโต๊ะอาหารจะติดกับครัวเปิด เราเลยสามารถมองเห็นขั้นตอนการปรุงอาหารทั้งหมด บอกได้เลยว่าแค่ไปยืนดูเชฟทำก็ยังรู้สึกถึงความน่าอร่อยจนแอบหิว
The Taste
อย่างที่บอกว่านี่คือไฟน์ไดนิ่ง ดังนั้นบนจานจะต้องมีชื่อแขกทุกคนต้อนรับอยู่ด้วย เมื่อแขกของเรานั่งโต๊ะพร้อมแล้วก็ประเดิมกันด้วย Starter
จานแรกของเราคือ Festive Holiday Harvest Soup ซุปมันม่วง ซุปมันหวาน และซุปผักเคล ทันทีที่เสิร์ฟลงบนโต๊ะ น้องทูยูและบิงซูก็ถึงกับกระโจนเข้าใส่และกวาดเรียบไม่เหลือสักหยด
ไม่รอช้า ลุยต่อกันด้วย Reindeer Fuel Croquette Bites คร็อกเกทูน่ามันฝรั่งท็อปด้วยกรีกโยเกิร์ตกับอิคุระ เสิร์ฟพร้อมซอสเบอร์รีโยเกิร์ตผสมแซลมอนออยล์เพื่อเพิ่มโอเมก้าให้แก่ร่างกาย
ในส่วนของน้องทูยูที่ยังเป็นเด็กน้อยก็จะมีพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแล แบ่งอาหารเป็นชิ้นพอดีคำแล้วค่อยๆ ป้อน
เหลือบไปเห็นทางฟากนูน่า (พี่สาว) แล้วนั้น…ให้ภาพเล่าเรื่อง
เต็มปากเต็มคำ และหมดเกลี้ยงในพริบตา
ระหว่างที่พ่อแม่กำลังอิ่มอกอิ่มใจกับการดูลูกๆ อิ่มเอมความอร่อยแล้วเกิดหิวขึ้นมาก็ไม่ต้องกังวล เพราะทางร้านได้เตรียมกล่องอาหารว่างไว้ให้เรียบร้อย
มาถึงจานสุดท้ายของ Starter กับ Christmas Starry Liver Pâté and Gingerbread คุกกี้ทำจากข้าวโอ๊ต กล้วย สตรอว์เบอร์รี สอดไส้ตับเป็ดบด โรยชีสด้านล่าง พร้อมตกแต่งด้วย Edible Flower ซึ่งสองพี่น้องก็ฟาดเรียบกันไม่เหลืออีกเช่นกัน
รองท้องกันไปแล้วก็มาถึง Main Course ของเราในวันนี้ เริ่มกันที่ Xmas Roast Bliss เนื้ออบเสิร์ฟคู่กับแครอต หน่อไม้ฝรั่ง และเห็ดแชมปิญอง
ด้วยความที่น้องทูยูยังเด็ก ทางร้านเลยเสิร์ฟเป็นไข่ดาวแทนเพื่อความย่อยง่าย ซึ่งน้องทั้งสองก็ยังเอ็นจอยทุกอย่างเช่นเคย แถมบิงซูยังแอบมาแย่งไข่ดาวน้องอีกด้วย
มาถึงอีกจานใน Main Course ที่ดูน่ากินสุดๆ และเป็นจานที่เชฟแสนจะภาคภูมิใจ Holiday Quack ‘n’ Waffle Feast กงฟีเป็ดเสิร์ฟบนวาฟเฟิลโรยด้วย Maple Glaze
โดยก่อนจะเสิร์ฟให้แขก ทางเชฟจะมีการเลาะกระดูกให้ และยังมีการราดด้วยทรัฟเฟิลออยล์อีกด้วย ซึ่งการใช้ทรัฟเฟิลออยล์นั้นไม่ได้มีเพียงจุดประสงค์ในการเพิ่มสารอาหารที่ดีแก่ร่างกาย แต่ยังมีที่มาจากการที่ประเทศอิตาลีนั้นมีการใช้น้องหมาในการตามหาทรัฟเฟิลจริงๆ
มาถึงจานนี้ก็เห็นได้เลยว่าน้องๆ อิ่มจริง หม่ำจนจอดคาจานกันเลยทีเดียว แต่ไม่ต้องเสียดาย เพราะทางร้านมีบริการห่อกลับบ้านให้ไปหม่ำต่อมื้ออื่นได้
และแล้วก็เดินทางมาถึงขนมหวานแสนอร่อยที่ถูกใจทั้งน้องๆ และบรรดาผู้ปกครองอย่าง North Pole Berry Banana Bliss Ice-cream ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รีและกล้วยแช่แข็ง เสิร์ฟพร้อมข้าวโอ๊ตและสตรอว์เบอร์รีสด ใช่แล้ว ทางร้านกระซิบบอกเราว่าเมนูนี้ถึงกับมีผู้ปกครองขอรับแทนลูกเลยล่ะ
Good for
เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ทั้งน่ารัก อบอุ่น และยังสร้างช่วงเวลาดีๆ ระหว่างพ่อแม่และลูกน้อยสี่ขาที่จะติดตรึงใจไปอีกนาน นอกจากที่น้องๆ จะได้ลิ้มรสความอร่อยและได้ประโยชน์จากเมนูอาหารที่รังสรรค์อย่างพิถีพิถันแล้ว ยังได้ฝึกเทสต์รสต่างๆ การใช้จมูกในการดมกลิ่น การกินอาหารในหน้าตาภาชนะที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นการใช้งานของประสาทสัมผัสมากขึ้นอีกด้วย
ด้วยความที่เป็น Pop-up Project ดังนั้นกิจกรรมไฟน์ไดนิ่งน้องหมานี้จะจัดขึ้นจนถึงสิ้นเดือนมกราคมเท่านั้น ส่วนในอนาคตจะมีเป็นโปรเจกต์อะไรให้แต่ละบ้านได้ร่วมสนุกกันอีก สามารถติดตามได้ทางโซเชียลมีเดียของแบรนด์
Brute Hause Studio
Open: เปิดรอบแบบไพรเวต (Booking Only)
Address: พระราม 9 ซอย 34
Facebook:
- https://www.facebook.com/profile.php?id=100085465055931
- https://www.facebook.com/storge.th?mibextid=LQQJ4d
Instagram:
Budget: 2,500 บาทในช่วง Soft Opening (ราคาขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและจำนวนที่จอง)