×

BIRDIES Bangkok ร้านไก่ทอดสไตล์แคชวลไฟน์ไดนิ่ง ที่ใช้คำว่าอร่อยได้เปลืองมาก

31.08.2023
  • LOADING...
BIRDIES Bangkok

หากพูดถึงคำว่า ‘Fine Dining’ เราเชื่อว่าภาพจำของร้านอาหารสุดหรู แก้วไวน์ เทสติ้งเมนูแบบพอดีคำ และเมนคอร์สที่ถูกตกแต่งด้วยศาสตร์และศิลป์อย่างสุดฝีมือของเชฟ ต่างต้องลอยเข้ามาในหัวทันที แต่ถ้าเป็น ‘Casual Fine Dining’ มีเทสติ้งเมนูจานเบิ้มและมีเมนคอร์สเป็น ‘ไก่ทอด’ ล่ะ? หากนึกภาพไม่ออก เราอยากพาไปทำความรู้จักกับ BIRDIES Bangkok แคชวลไฟน์ไดนิ่งใหม่ย่านสุขุมวิทที่เดินลงจาก BTS สถานีพร้อมพงษ์ เพียงไม่กี่ก้าวก็ถึง 

 

BIRDIES Bangkok

 

The Vibe  

 

เดินขึ้นมาถึงชั้น 3 ของอาคาร ก็จะพบกับตัวร้านที่แค่ก้าวเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงความแคชวลแต่มีคลาสสมกับคอนเซปต์ร้าน แก้วไวน์ถูกวางเรียงรายบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ ไฟในร้านเป็นโทนส้มที่ถูกดิมให้สลัวเล็กน้อย

 

 

“BIRDIES คือแพสชันโปรเจกต์ของเรา เราแค่อยากทำอะไรที่เราชอบ” Jennifer Evans หรือ เจน เชฟเจ้าของร้านหน้าละอ่อนชาวไทย-ออสเตรเลีย บอกกับเราด้วยรอยยิ้มและแววตาที่เปล่งประกาย 

 

“ง้อเขาอยู่นานเลยนะครับกว่าเขาจะยอมทำร้านอาหาร (หัวเราะ)” Ratish Sachatamakul หรือ ราทิช สามีของเจน เจ้าของร้านร่วม กล่าวอย่างติดตลก “เพราะเราต้องเลี้ยงลูกค่ะ…เรามีลูกแล้วสองคน (ยิ้ม) อย่างภาพวาดที่เราแขวนบนกำแพงก็คือครอบครัวของเราค่ะ” หากคุณได้นั่งโต๊ะกลางร้านก็จะเห็นว่ามีภาพวาดที่มีสมาชิกทั้ง 4 คนแขวนอยู่ 

 

 

ที่มาของชื่อร้าน BIRDIES นั้นได้แรงบันดาลใจมาจาก ‘Bird’ คำสแลงที่ใช้เรียกผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ในขณะเดียวกันก็สื่อถึงไก่ซึ่งเป็นเมนคอร์สของร้าน “เราอยากให้ร้านมีทั้งความเฟมินีนและมัสคูลีนด้วยค่ะ” เชฟเจนเสริม

 

 

ด้วยความตั้งใจให้ร้านไก่ทอดแห่งนี้เป็นแคชวลไฟน์ไดนิ่ง คุณจึงสามารถแวะมากินได้แบบสบายๆ ไม่ต้องแต่งตัวหรูหรา และที่สำคัญคือ อยากให้เอ็นจอยกับบรรยากาศร้าน นั่งไปนานๆ ไม่ต้องรีบ

 

นอกจากโซนโต๊ะอาหารแล้วก็ยังมีเคาน์เตอร์บาร์ให้เหล่านักดื่มได้นั่งไปพูดคุยกับบาร์เทนเดอร์ไปด้วยเพลินๆ 

 

 

The Taste  

 

ก่อนที่จะมาสวมหมวกเชฟที่นี่ เชฟเจนเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์การคลุกคลีกับไฟน์ไดนิ่งในวันวาน “เราได้ลองเทสติ้งเมนูหลายต่อหลายครั้ง และพบว่าเราต้องไปกินอย่างอื่นต่อ มันไม่อิ่มท้องและไม่อิ่มใจในรสชาติ”  

 

ด้วยความที่เชฟเจนเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพอาหารเป็นส่วนตัว เธอเลยตั้งใจให้ BIRDIES นำเสนออาหารที่วัตถุดิบต้องพรีเมียมและล้วนต้องให้ความรู้สึกที่อิ่มท้องและอิ่มใจ เลยเกิดไอเดียเป็นเมนู Small Plate และ Main Course ที่แชร์กันกินได้ ไม่ใช่จานใครจานมัน 

 

 

ด้วยความที่เชฟเจนเป็นลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย และที่ประเทศออสเตรเลียส่วนใหญ่มีหลากหลายวัฒนธรรม อันส่งผลให้เธอคุ้นเคยกับอาหารหลายประเภททั้ง Australian, American, Asian, Middle Eastern, European, Mediterranean เชฟเลยหยิบยกจุดเด่นของแต่ละประเทศมารังสรรค์เมนูอาหารจานใหม่ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเน้นวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง และที่สำคัญคือการทำให้เกิด Food Waste น้อยที่สุดด้วยการนำวัตถุดิบแต่ละส่วนมาใช้ในการประกอบอาหารอย่างคุ้มค่า เพื่อลดปัญหาโลกร้อน บางอย่างที่ครัวไม่ใช้ก็สามารถนำไปใช้กับบาร์ได้ ในทางกลับกัน หากทางบาร์ไม่ใช้วัตถุดิบส่วนใด ก็สามารถส่งให้กับทางครัวไปประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน 

 

เริ่มจาก Scallops (560 บาทต่อ 2 ชิ้น) ที่เสิร์ฟมาในน้ำเลมอนสูตรโฮมเมด เหมาะกับการเป็นจานแรกที่เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี

 

 

ต่อด้วย EverythingParker House’ (280 บาท) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเบเกิล โดยตัวแป้งคือซาวโดวจ์ในเวอร์ชันนิ่มที่ใช้ยีสต์อายุ 20 ปี เสิร์ฟกับ Chicken Butter ทำจากไขมันของไก่ที่นำมาเจียวแล้วตีกับเนยฝรั่งเศส ผสมกับมิโซะที่ทำเอง โรยด้วย Garlic Ash ที่ทำจากเปลือกของกระเทียมนำไปเผาแล้วมาบดเป็นผง แนะนำให้กินตอนเสิร์ฟทันที เพราะคุณจะได้เท็กซ์เจอร์ของขนมปังที่กรอบนอกนุ่มในร้อนๆ ยิ่งจิ้มกินกับเนย ก็จะได้ความหอมอบอวลในปากจนต้องหยิบชิ้นใหม่ขึ้นมาจิ้มกินต่อ

 

 

Taramasalata (420 บาท) ดิปไข่ปลาค็อดสไตล์กรีกที่ถูกนำมาตีความใหม่ให้เท็กซ์เจอร์เบาลง ท็อปด้วยอิคุระ วิธีการกินคือนำชิปส์ที่เสิร์ฟมาด้วยจิ้มกินกับดิปได้เลย รสชาติจะออกครีมมี่ กินแล้วมันปาก เป็นจานที่ทำเอาเบรกแตกเลเวล 1

 

 

ส่วนจานที่ทำเอาเบรกแตกเลเวล 2 คือ Burrata (530 บาท) จานซิกเนเจอร์ของที่นี่ด้วยยอดขายติดท็อปทุกวัน ลบภาพบูราตาชีสแบบเดิมๆ ไปได้ เพราะสูตรของทางร้านมีการใส่พริกและน้ำมันงาสไตล์จีน สร้างรสชาติความแปลกใหม่ที่อร่อยจนทีม LIFE ถึงกับอุทานพร้อมกันทั้งโต๊ะทันทีที่ตักเข้าปาก เชื่อว่ารสชาติจานนี้จะต้องถูกปากคนไทยไม่น้อย

 

 

Morels (580 บาท) หรือลูกชิ้นไก่สไตล์ญี่ปุ่นห่อกับเห็ด เสิร์ฟมาพร้อมกับไข่แดงรมควัน วิธีกินคือเจาะไข่แดงให้แตกแล้วจิ้มกินกับลูกชิ้น เป็นจานคอมฟอร์ตฟู้ดที่กินง่าย อร่อยเพลิน อีกเช่นกัน

 

 

มาถึงจานโปรดของเชฟอย่าง Cabbage (380 บาท) ที่มีการใช้ Vegemite สเปรดอันเลื่องชื่อของออสเตรเลีย เสิร์ฟกับ Tahini หรือซอสงาขาว ตัวกะหล่ำปลีจะถูกผัดจนมีเท็กซ์เจอร์ไหม้เกรียมเล็กๆ และมีรสชาติที่ค่อนข้างเข้มข้นจัดจ้าน แต่พอจิ้มกับ Tahini แล้วจะได้รสชาติที่นุ่มละมุนขึ้น

 

 

กว่าจะเดินทางมาถึงเมนคอร์สท้องก็ตึงกับ Small Plate ที่เสิร์ฟไปกว่าครึ่งแล้ว ไก่ทอดที่นี่จะมีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ แบบไม่มีกระดูก น่อง และปีก ใน 3 รสชาติ คือ Naked, Hot Honey และ Spicy

 

ส่วนใครที่กินมังสวิรัติที่นี่ก็มีแบบ Egg Plants หรือมะเขือทอดสไตล์เดียวกับไก่ทอดเสิร์ฟเช่นกัน 

 

 

ในส่วนของซอสนั้นมีทั้งหมด 5 สูตร ได้แก่ White Alabama ซอสไวต์บาร์บีคิว, Comeback ซอสมายองเนสสไตล์คลาสสิกอเมริกัน, Toum + Fermented Chilli ซอสกระเทียมสไตล์เลบานอนกับซอสพริกดอง, Our Ranch ซอสครีมขาวใส่สมุนไพร และ Carolina Gold ซอสมัสตาร์ดบาร์บีคิว

 

 

ไก่ที่นี่จะหมักโคจิ ซึ่งคล้ายๆ สปอร์ที่ทำให้ไก่มีความฉ่ำ หากลองไก่ของที่นี่แล้วจะสัมผัสได้ว่ามันไม่เหมือนไก่ทอด เป็นไก่ที่ไม่มัน ไม่รู้สึกหนักท้อง” ราทิชกล่าว

 

 

หากมากันหลายคนเราแนะนำให้ลองทุกรสและสั่ง Side Dish มาด้วย ไม่ว่าจะเป็น Mash & Druck Heart Gravy (285 บาท) มันบดราดซอสเกรวีที่ทางร้านทำเอง

 

 

ตัดรสด้วย Smoked Duck Collard Greens (190 บาท) ที่ชวนให้นึกถึงผักดองสไตล์จีน 

 

 

Hot Chips (170 บาท) เฟรนช์ฟรายส์ที่ทางร้านทอดได้แบบอมน้ำมันน้อยมากๆ, Crusty Corn Bread (220 บาท) โลฟขนมปังข้าวโพดเสิร์ฟกับเนยเมเปิ้ล, ‘Proper’ Tzatziki (210 บาท) โยเกิร์ตแตงกวามินต์ผักชีลาว เครื่องเคียงที่เหมาะกับอาหารทอดสุดๆ 

 

 

และที่ห้ามพลาดเลยคือ Roasted Carrots (240 บาท) แครอตที่ใช้เวลาอบเกือบ 6 ชั่วโมง ท็อปด้วยอัลมอนด์และแครนเบอร์รี เสิร์ฟกับโยเกิร์ต จานนี้เซอร์ไพรส์มาก เพราะรสชาติไม่เหมือนแครอต แต่เหมือนขนมหวานจานหนึ่งที่เนื้อนุ่ม อร่อยแบบเซอร์ไพรส์จริงๆ เชฟเจนเล่าให้ฟังว่า เธอได้สูตรนี้โดยบังเอิญขณะที่ทิ้งแครอตไว้ในเตาอบแล้วไปรับลูกที่โรงเรียน

 

 

ขึ้นชื่อว่าเป็นไฟน์ไดนิ่ง ก็ต้องมีแพริ่งกับเครื่องดื่มด้วย

 

หากไถฟีด Instagram ของทางร้านจะเห็นว่าที่นี่มีการแพริ่งไก่ทอดกับแชมเปญ คอมบิเนชันนี้ที่จริงแล้วเกิดจากความชอบของเชฟเจนล้วนๆ เธอเผยว่า มันอร่อยและเข้ากันได้อย่างลงตัว

 

ซึ่งถ้าสังเกตขณะเดินขึ้นบันไดจะเห็นว่ามีขวดไวน์และแชมเปญวางเรียงรายอยู่ และนั่นคือผลงานการดื่มของเชฟเจนเอง

 

 

นอกจากประสบการณ์ในวงการอาหารแล้ว เชฟจีนยังมีอดีตเป็น Sommelier หรืผู้เชี่ยวชาญในเรื่องไวน์มาถึง 15 ปี ดังนั้นแล้วหมวดไวน์และแชมเปญในเมนูที่เห็นคือขวดที่เชฟคัดสรรมาจากนับพันขวด และมั่นใจว่าต้องครอบคลุมรสชาติทุกสไตล์ เพื่อตอบโจทย์รสนิยมของลูกค้า อย่างเช่น ตัวไวน์ก็จะมีทั้งแบบ Conventional และ Natural Wine ส่วนหมวดแชมเปญจะมี by glass, by bottle เริ่มต้นตั้งแต่ราคาเบาๆ ไปจนถึงพรีเมียมเลยทีเดียว และจะมีการเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่นกัน เรียกว่ามีอะไรใหม่ๆ มาให้สายดื่มได้ลองอยู่ตลอดแน่นอน

 

 

ในส่วนของดริงก์อื่นๆ หากลองพลิกหน้าเมนูก็ถึงกับเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว แต่ที่ดูจะสะดุดตาสุดคือ Tap Cocktail Takeover พร้อมชื่อผู้ครีเอตอยู่ด้านล่าง ไอเดียที่ว่านี้เชฟเผยว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากคอนเซปต์ Guest Shift Bartender หรือการเชิญบาร์เทนเดอร์จากที่อื่นมาเป็นผู้ครีเอตค็อกเทลในร้าน ด้วยความที่ทางเจ้าของร้านมีเพื่อนฝูงค่อนข้างเยอะ เลยทำ Tap นี้ไว้ให้เพื่อนเทกโอเวอร์เสียเลย โดยจะมีการเวียนเปลี่ยนไปทุกๆ เดือน เพื่อนำเสนอความแปลกใหม่ชวนลองอยู่เสมอ

 

 

ส่วนค็อกเทลทั้งหมดจะเป็นเมนูคลาสสิกที่นำมาตีความใหม่ในสไตล์ของ BIRDIES เช่น Negroni ที่สายดื่มน่าจะคุ้นเคยกันดี แต่สำหรับเวอร์ชันของที่นี่จะเป็นการใช้ส่วนผสมจากมะตูม เป็นต้น 

 

และแต่ละชื่อเองก็ได้แรงบันดาลใจจากอาหาร เพลง และเรื่องราว ที่ลองแล้วชวนให้นึกถึงเรื่องราวบางอย่างในความทรงจำ 

 

 

Sunday Vibez (400 บาท) High-Ball เบส Pisco และ Cocchi Rosa เพิ่มรสชาติความเปรี้ยวเล็กๆ ด้วยรูบาร์บนำเข้าจากโปแลนด์  

 

Dopamine (420 บาท) อีกแก้วที่น่าสนใจด้วยเบสเป็นจินจากประเทศอินเดีย ดาชิ น้ำซุปที่เป็นหัวใจหลักของอาหารญี่ปุ่น ใบชิโซะ และแซมไฟร์ 

 

ฟังดูรวมๆ แล้วอาจจะสงสัยว่ามันเข้ากันได้เหรอ คำตอบคือเข้ากันและดื่มง่ายจริงๆ 

 

หากใครที่ชอบรสชาติเปรี้ยวนำ ดื่มง่าย สดชื่น แนะนำเป็น If Arnold Palmer did MMA (390 บาท) ที่มีเบสเป็น Salted Plum Gin จากจีน Cocchi Americano เพิ่มความหอมด้วยชาอู่หลงและน้ำเลมอนที่ทางร้าน Process เอง แก้วนี้ชวนให้นึกถึงชามะนาวในเวอร์ชันที่น่าค้นหายิ่งขึ้น 

 

ถ้าเป็นสายเบียร์แนะนำให้ลอง Tap Beer อย่างแก้วนี้ Heart of Darkness, Dream Alone (290 บาท) ที่มีความฟรุตตี้ ดื่มง่ายอีกเช่นเคย แต่หากกลับมาครั้งหน้าคุณอาจจะไม่เจอเบียร์ตัวเดิมแล้ว เพราะที่นี่จะมีการเปลี่ยนใหม่ไปทุกๆ เดือนหรือสองเดือน 

 

Good For

 

แนะนำให้จับมือเพื่อนเป็นก๊วนแล้วชวนกันมาที่นี่ ด้วยความที่อาหารในร้านอร่อยทุกจานและปริมาณไม่น้อย นอกจากจะเหมาะกับการเอ็นจอยดินเนอร์สุดอิ่มเอมแล้ว ที่นี่ก็ยังมีดริงก์ให้เลือกอย่างหลากหลาย รองรับทุกเทส เหมาะจะนั่งชิลคุยกันไปยาวๆ ที่สำคัญคือไม่ต้องพิธีรีตองกับการแต่งตัว สะดวกแต่งตัวแบบไหนทางร้านก็เวลคัม เราขอยกให้เป็นแคชวลไฟน์ไดนิ่งที่ต้องมากินให้ได้สักครั้งก่อนตาย

 

 

BIRDIES Bangkok

Open: ทุกวัน เวลา 17.00-01.00 น. (ปิดวันอังคาร)

Address: ติดกับ BTS สถานีพร้อมพงษ์ ทางออก 3  

Website: https://www.birdiesbkk.com/

Instagram: https://www.instagram.com/birdiesbkk/ 

Budget: อาหารเริ่มต้นที่ 170 บาท, ค็อกเทลเริ่มต้นที่ 380 บาท

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising