ซอยคอนแวนต์เริ่มคึกคักมาสักพัก หลังจากเริ่มมีร้านอาหารและบาร์ทยอยมาเปิด ทั้ง Vesper, Via Maris ที่ผุดขึ้นติดๆ กัน และไม่นานมานี้ก็มีร้านอาหารสเปนน้องใหม่เปิดขึ้นไม่ไกลจากร้านรางวัลแพรวพราวอย่าง Eat Me ในซอยคอนแวนต์ ร้านนั้นคือ Kika Kitchen & Bar (กิก้า คิตเช่น แอนด์ บาร์)
นี่ไม่ใช่ร้านใหม่เอี่ยมของใครที่ไหน แต่เป็นหนุ่มๆ ฝรั่งเศสจากก๊วน Oskar Bistro ในสุขุมวิท ซอย 11, Quince Eatery สุขุมวิท 45 และ BIRDS Rotisserie ในซอยนางลิ้นจี่ ที่รวมตัวกันรังสรรค์ร้าน Kika ขึ้นมาหลังจากทริปตะลุย (กิน) แดนกระทิงดุ ทำให้ Kika กลายเป็นร้านอาหารทาปาสสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ที่มีกลิ่นอายความเป็นสเปนบ้าง ฝรั่งเศสหน่อย แต่ยังคงการใช้วัตถุดิบของไทยเพื่อความสดใหม่ของอาหาร
เลือกนั่งหน้าครัวเปิด ชมการปรุงวัตถุดิบที่นำมาจัดใส่จานกันได้
The Vibe
แน่นอนว่าหลังจากกลับมากรุงเทพฯ กลุ่มเพื่อนที่ไปสเปนยังคงรำลึกถึงวันสนุกๆ กลางแสงแดดในแดนแห่งสีสันของบาร์เซโลนาและมาดริด บรรยากาศของร้านจึงแลดูอบอุ่นด้วยการใช้สีของไม้ แต่แต่งแต้มไปด้วยสีสดใสบ่งบอกความเป็นเมดิเตอร์เรเนียน โดยมี 2 ชั้นให้เลือกนั่ง มีทั้งหน้าบาร์ให้ดูเชฟแล่แฮมหรือทำอาหารในครัวเปิด โต๊ะริมหน้าต่างไว้ชมคนย่านคอนแวนต์ผ่านไปมา หรือจะเดินขึ้นบันไดไม้สู่บาร์ชั้น 2 ที่ส่วนตัวกว่าสักหน่อย ชมลีลาการชงเครื่องดื่มของบาร์เทนเดอร์ เหมาะกับการหาอะไรหม่ำหลังเลิกงานก่อนจะออกไปเผชิญรถติด
(บน) ก๊วนเพื่อนชาวฝรั่งเศสผู้ก่อตั้ง Kika ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการไปเยือนสเปน, (ล่าง) บรรยากาศโปร่งๆ แต่อบด้วยสีอุ่นของร้าน
The Concept
คอนเซปต์อาหารของ Kika คือ Small Plates, Big Flavours อันสื่อถึงอาหารจานจิ๋วรับประทานง่ายแบบทาปาส หรือสั่งมาแชร์กันกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งเมนูจะสลับสับเปลี่ยนไม่ซ้ำกันทุกวัน โดยสามารถดูได้จากชอล์กบอร์ด ซึ่งเชฟผู้ออกแบบรสชาติคือ จูเลียน ลาวีญ (Julien Lavigne) ชายฝรั่งเศสตัวเล็กกับรอยยิ้มกว้างและไอเดียมหาศาล ผู้ผ่านประสบการณ์ในครัวมาแล้วมากมาย อาทิ ร้าน D’Sens ที่โรงแรมดุสิตที่ครั้งหนึ่งเคยลือชื่อ ซึ่งจูเลียนจับมือกับเชฟชาวอาร์เจนตินา โจเอล บานิโน่ (Joel Banino) ที่เคยทำงานในร้าน Arzak ที่ซานเซบาสเตียนในสเปน และ El Portalon ที่อีบิซ่ามาก่อนหน้า
เชฟโจเอลกำลังแล่ฮามอน
เมนูของร้านแบ่งออกเป็นการจำแนกด้วยเทคนิคหรือประเภทอาหาร อาทิ A la Portuguesa, Raw, Baked, Ganache, Toasted, Espuma ฯลฯ บอกถึงกรรมวิธีการทำแต่ละรูปแบบ รวมไปถึง Charcoal อันเป็นกรรมวิธีโปรดส่วนตัวของเชฟโจเอลที่เขาได้มาจากวัฒนธรรมการกินของชาวอาร์เจนตินาที่บ้านเกิด ที่นิยมนำวัตถุดิบแทบทุกอย่างไปย่างเตาถ่าน ซึ่งเมนู Charcoal จะเสิร์ฟเฉพาะช่วงเย็นเท่านั้น
ปลาซาร์ดีนกระป๋องเทมปุระ
The Dishes
ลองชิม Canned Sardines (230 บาท) ปลาซาร์ดีนกระป๋องแบบไทยนำไปทอดจนเป็นสีทอง เป็นเทมปุระกรอบๆ มีกลิ่นหอม เผ็ดร้อนนิดๆ ด้วยพริกป่นที่เคลือบรอบๆ ทวีคูณความฮอตด้วยการจิ้มซอสพริกฮาริซา บีบมะนาวเพื่อเพิ่มรสจี๊ดและเติมความสดชื่น โรยด้วยพาร์สลีย์ที่เพิ่มความสดชื่นให้กับเมนูทอดนี้อย่างลงตัว
ปลาบาร์ราคูดาคลุกเคล้าเครื่องเทศรสจัด
Barracuda (310 บาท) พาสตรามีปลาสากใหญ่ของไทย นำมาอบกับเครื่องเทศรสจัด กลิ่นหอมชวนมัดใจ หนังกรอบและเนื้อหวานนุ่มนวล มีทั้งมะกอกดำกรอบ ผลเก๋ากี้ที่เพิ่มความหวาน แครอต กินกับถั่วลูกไก่ จิ้มซอสมาโยศรีราชาเผ็ดร้อนสูตรของทางร้าน
หางวัวตุ๋นไวน์แดง
คนรักเนื้อ แนะให้สั่ง Oxtail (350 บาท) เนื้อหางวัวไทยที่นำไปตุ๋นกับไวน์แดงจนนุ่ม ตกแต่งจานเสิร์ฟจนคุณอาจนึกว่า ‘หรือนี่คือเล้งแบบสเปน?’ ใส่เครื่องต้มยำของไทยแต่รสชาติกลับหวานกลมกล่อมจากหัวหอมที่นำไปเคี่ยวจนหวานแบบคาราเมล ทั้งยังมีหอมซอยกรอบๆ โรยหน้า สร้างรสสัมผัสที่หลากหลาย
ตบท้ายด้วย Dark Chocolate
ใครอยากล้างปาก ให้ลองทาปาสขนมหวาน Dark Chocolate (220 บาท) ช็อกโกแลตเบลเยียมแท้ๆ นำมาทำเป็น Ganache โดยใช้ครีมและช็อกโกแลต กรุบกรอบด้วยชอร์ตเบรด (Short Bread) ที่เป็นฐาน จานนี้หอมหวานอมเปรี้ยวด้วยการใส่แพสชันฟรุตที่เข้ากับช็อกโกแลตได้อย่างดี
มุมจินบาร์ชั้น 2
The Drinks
ที่นี่มีลิสต์ไวน์สเปนและฝรั่งเศสให้เลือกชิมกันอย่างละครึ่งในราคาที่ไม่สูงนัก แต่เมนูค็อกเทลซิกเนเจอร์ที่คิดโดยคาร์สัน ควินน์ (Carson Quinn) มิกโซโลจิสต์จาก Iron Balls Distellery ที่ขโมยใจเราไป จนต้องกลับไปชิมอีกคือ Pineapple & Sandalwood White Negroni (270 บาท) ที่นำค็อกเทลอย่าง White Negroni นำจินไปอินฟิวส์กับสับปะรดและไม้จันทน์ ทำให้ยิ่งดื่มยิ่งได้กลิ่นและรสอันหอมหวานยวนใจ แต่ด้วยความที่เป็น Negroni จึงไม่หวานจับใจตามแบบฉบับค็อกเทลเปรี้ยวหวานที่มักทำเอาใจคนเอเชีย
(ซ้าย) Pineapple & Sandalwood White Negroni,
(ขวา) Mango Gin & Tonic
แต่หากคุณเป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบอะไรสำเร็จรูป แต่หลงรัก Gin & Tonic หมดใจ เราแนะนำให้สร้างเครื่องดื่มแบบ DIY ของตัวเอง โดยสามารถเลือกประเภทจินที่ชอบ มีตั้งแต่ Tanqueray, Iron Balls, Bombay Sapphire, Martin Millers, Hendrick’s ไปจนถึง G’Vine และ Gin Mare ที่เป็นจินกลิ่นหอมสมุนไพรนานาชนิดจากสเปน จากนั้นจึงเลือกชนิดโทนิกที่ชอบ มีตั้งแต่ Fever Tree, Fentimans, 1724 Tonic แล้วจึงเลือกเครื่องเทศหรือผลไม้ที่อยากใส่ลงไป โดยใส่ได้สูงสุด 3 ชนิดด้วยกัน อาทิ มะม่วง, เปลือกส้ม, แอปเปิ้ล, ลิ้นจี่, โรสแมรี, ใบไทม์, อบเชย หรือพริกเสฉวน
Kika Kitchen & Bar
Open: เปิดบริการวันอังคารถึงอาทิตย์ เวลา 17.00-01.00 น.
Address: ซอยคอนแวนต์ สีลม กรุงเทพฯ
Budget: เมนูทาปาสเริ่มต้นที่ 80 บาท
Contact: โทร. 09 5592 0510, www.facebook.com/KikaBangkok
Map: