×

เช็กผลงาน 100 วันแรกของ โจ ไบเดน ทำอะไรแล้วบ้าง

30.04.2021
  • LOADING...
Joe Biden ผลงาน

โจ ไบเดน ทำงานครบ 100 วัน ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 29 เมษายน หลังเข้าพิธีสาบานตนเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 เราไปเช็กผลงานกันว่า เขาทำอะไรไปแล้วบ้าง ได้ตามเป้า เกินเป้า หรือพลาดเป้าจากที่หาเสียงหรือสัญญาไว้หรือไม่

 

1. ฉีดวัคซีนให้ประชาชน 100 ล้านโดส

  • ไบเดนให้คำมั่นว่าจะฉีดวัคซีนให้ชาวอเมริกัน 100 ล้านโดสภายใน 100 วันแรกของการทำหน้าที่ประธานาธิบดี หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนก่อนหน้า ทำไม่ได้ตามเป้าในการฉีดวัคซีนให้ประชาชน 20 ล้านคนภายในสิ้นปี 2020 ตามที่เคยประกาศไว้

 

  • จากข้อมูล รัฐบาลของไบเดนทำได้ตามเป้าหมายตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม หรือก่อนกำหนดที่ตั้งไว้ถึง 40 วัน และฉีดครบ 200 ล้านโดสเมื่อวันที่ 21 เมษายน ซึ่งเร็วกว่ากรอบเวลาใหม่ที่ตั้งไว้ถึง 1 สัปดาห์ ซึ่งถือว่าเกินเป้าไปมาก 

 

2. ฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโรคระบาด

  • ก่อนพิธีสาบานตน ไบเดนเสนอแผนเยียวยาเศรษฐกิจ โดยขอให้สภาคองเกรสอนุมัติแพ็กเกจงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อจ่ายเช็คเงินสดให้ประชาชนเพิ่มเติม รวมทั้งช่วยเหลือคนตกงาน และพยุงธุรกิจขนาดเล็กให้อยู่รอดได้ต่อไป
  • ในเดือนมีนาคม สภาคองเกรสผ่านแพ็กเกจที่รู้จักในชื่อ American Rescue Plan ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นไปตามที่ไบเดนเสนอ แต่ก็มีส่วนที่เปลี่ยนแปลง เช่น การจำกัดขอบเขตการจ่ายเช็คเงินสดแก่ประชาชนคนละ 1,400 ดอลลาร์ให้แคบลง และเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง
  • ปัจจุบัน รัฐบาลไบเดนส่งเช็คเงินสดวงเงินสูงสุด 1,400 ดอลลาร์ให้กับประชาชนแล้วกว่า 160 ล้านคน และจัดสรรงบช่วยเหลือสถาบันการศึกษาระดับมลรัฐจำนวนกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ และเพิ่มเงินสนับสนุนโปรแกรม Affordable Care Act ในการให้ชาวอเมริกันเข้าถึงการคุ้มครองในระบบประกันสุขภาพ

 

3. นโยบายต่างประเทศ

  • ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะเป็นประเด็นสำคัญที่ไบเดนเคยหาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้ง แต่หลังจากรับตำแหน่งแล้ว เขาโฟกัสไปที่ประเทศอัฟกานิสถาน อิหร่าน และรัสเซียมากกว่า
  • ไบเดนให้คำมั่นว่าจะถอนทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถานก่อนวันที่ 11 กันยายน ซึ่งเป็นวันครบรอบเหตุการณ์วินาศกรรมโจมตีตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์ก ปี 2001 หลังสหรัฐฯ ติดหล่มสงครามในอัฟกานิสถานเป็นเวลา 2 ทศวรรษ ซึ่งถือเป็นสงครามในต่างแดนที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา
  • ไบเดนระบุกรอบเวลาว่าจะเริ่มถอนหทารตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงที่รัฐบาลทรัมป์ทำกับกลุ่มตอลิบาน โดยกองกำลังสหรัฐฯ บางส่วนจะยังคงประจำการในอัฟกานิสถานเพื่อคุ้มครองทูตอเมริกัน อย่างไรก็ตามเขาไม่เปิดเผยจำนวนที่แน่ชัด ขณะที่ภารกิจด้านมนุษยธรรมและการทูตในอัฟกานิสถานจะดำเนินต่อไป และจะเดินหน้าสนับสนุนสันติภาพระหว่างรัฐบาลอัฟกานิสถานกับกลุ่มตอลิบาน
  • ในประเด็นนิวเคลียร์อิหร่านนั้น ไบเดนพยายามกอบกู้ข้อตกลงฉบับปี 2015 ที่สหรัฐฯ ทำกับอิหร่านในสมัยรัฐบาล บารัก โอบามา หลังทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงในปี 2018
  • สหรัฐฯ และอิหร่านฟื้นการเจรจาที่กรุงเวียนนาในเดือนเมษายน ถึงแม้คณะผู้แทนจากสองฝ่ายจะไม่ได้พูดคุยกันโดยตรง แต่ก็มีการแลกเปลี่ยนมุมมองผ่านทางเจ้าหน้าที่จากประเทศมหาอำนาจที่อยู่ในข้อตกลง ซึ่งเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เผยว่า การพูดคุยที่เวียนนาเป็นเพียงก้าวแรกของเฟสแรกในการกลับสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน
  • รัฐบาลไบเดนออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียและขับนักการทูตออกจากประเทศ เพื่อตอบโต้กรณีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020 รวมถึงกรณีการโจมตีทางไซเบอร์ SolarWinds และการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงในดินแดนไครเมียที่รัสเซียผนวกมาจากยูเครน

 

4. ปัญหาโลกร้อน

  • เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไบเดนทำตามคำมั่นสัญญาด้วยการจัดประชุมสุดยอดทางภูมิอากาศโลกภายในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง ซึ่งในเวทีดังกล่าว เขาประกาศโรดแมปชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50-52% เมื่อเทียบกับระดับที่ปล่อยในปี 2005 ภายในปี 2030 
  • เป้าหมายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงปารีส ซึ่งไบเดนนำสหรัฐฯ กลับเข้าร่วมความตกลง หลังจากที่ทรัมป์ประกาศถอนตัวในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง

 

5. แก้ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติและส่งเสริมความเท่าเทียม

  • หลังรับตำแหน่ง ไบเดนเดินหน้าแก้ปัญหาความไม่เสมอภาคทางเชื้อชาติ โดยเริ่มจากการตั้งคณะรัฐมนตรีที่มีความหลากหลายทางเพศและเชื้อชาติมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และมีการลงนามคำสั่งพิเศษหลายฉบับที่มุ่งอุดช่องว่างความเหลื่อมล้ำในการเป็นเจ้าของบ้านระหว่างคนผิวสีและคนผิวขาว
  • ในเดือนมกราคม ไบเดนลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารยกเลิกคำสั่งแบนของทรัมป์ที่ห้ามบุคคลข้ามเพศเข้าเป็นทหารในกองทัพ โดยกระทรวงกลาโหมหรือเพนตากอนเผยในเดือนมีนาคมว่า นโยบายใหม่ๆ จะเริ่มมีผลในวันที่ 30 เมษายนเป็นต้นไป ซึ่งรวมถึงการเปิดทางให้บุคคลข้ามเพศเข้าร่วมกองทัพ และเข้าถึงบริการรักษาทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น โดยจะป้องกันการเลือกปฏิบัติในกองทัพ

 

ภาพ: Melina Mara / The Washington Post via Getty Images

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising