รัฐบาลของ โจ ไบเดน เตรียมปล่อยน้ำมันดิบออกจากคลังปิโตรเลียมสำรองทางยุทธศาตร์ของสหรัฐฯ อีก 15 ล้านบาร์เรล และอาจเพิ่มปริมาณขึ้นอีกในช่วงฤดูหนาว เพื่อบรรเทาปัญหาราคาเชื้อเพลิงในประเทศที่พุ่งสูงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อความนิยมของพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งกลางเทอมที่กำลังจะมาถึงในเดือนหน้า
การปล่อยน้ำมันออกจากคลังสำรองฉุกเฉินของสหรัฐฯ ถือเป็นการตอบโต้ความเคลื่อนไหวของกลุ่ม OPEC+ ที่มีมติให้ลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงก่อนหน้านี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ‘ไบเดน’ ปัดเศรษฐกิจโลกตกต่ำไม่ได้มาจากดอลลาร์แข็ง แต่มาจากนโยบายที่ผิดพลาดของประเทศอื่น
- รายงานชี้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยไม่ช่วยสกัดเงินเฟ้อ ตราบใดที่การใช้จ่ายภาครัฐยังอยู่ในระดับสูง
- เศรษฐกิจสหรัฐฯ ‘หดตัว’ สองไตรมาสต่อเนื่อง เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค ขณะที่ NBER ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ
ช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนที่จะปล่อยน้ำมันดิบออกจากคลังสำรองเพื่อกดราคาในตลาดจำนวน 180 ล้านบาร์เรล ซึ่งจนถึงปัจจุบันได้ปล่อยไปแล้วรวม 165 ล้านบาร์เรล
ข้อมูลจากทำเนียบขาว ณ วันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ระบุว่า คลังน้ำมันสำรองฉุกเฉินของสหรัฐฯ เก็บน้ำมันดิบอยู่ราว 405 ล้านบาร์เรล จากความจุทั้งหมด 714 ล้านบาร์เรล
ขณะที่กระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า น้ำมันดิบจำนวน 15 ล้านบาร์เรลจะเริ่มเข้าสู่ตลาดในเดือนธันวาคม และในเดือนหน้ารัฐบาลจะพิจารณาว่ายังจำเป็นต้องระบายน้ำมันออกจากคลังเพื่อกดราคาในตลาดเพิ่มเติมอีกหรือไม่
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ ตั้งเป้าจะเติมน้ำมันกลับเข้าคลังสำรอง เมื่อราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสปรับลดลงมาอยู่ในช่วง 67-72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
หลายเดือนที่ผ่านมาพรรครีพับลิกันได้ใช้ประเด็นเรื่องน้ำมันแพงซึ่งนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อ โจมตีการบริหารของรัฐบาลไบเดนและพรรคเดโมแครตอย่างต่อเนื่อง เมื่อการเลือกตั้งกลางเทอมใกล้เข้ามา แรงกดดันจากเรื่องดังกล่าวจึงทำให้รัฐบาลของไบเดนต้องพยายามทำทุกวิถีทางในการดูแลเสถียรภาพของราคาพลังงานในประเทศ
ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาราคาน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วในสหรัฐฯ เคยพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 5.02 ดอลลาร์ต่อลิตร ก่อนจะทยอยปรับลดลง โดยราคาล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.87 ดอลลาร์ต่อลิตร ซึ่งก็ยังถือเป็นระดับที่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน
อ้างอิง: