JFin Coin คืออะไร?
เพื่อหาคำตอบ คุณอาจจะพิมพ์คำว่า ‘JFin Coin’ ในกูเกิล แต่ผมคิดว่าวิธีการที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด คือการกลับไปดูที่จุดประสงค์ตั้งต้นว่า JFin Coin เกิดมาเพื่ออะไร?
JFin Coin เกิดจากบริษัทในกลุ่ม Jaymart ที่ต้องการระดมทุนผ่าน ICO (คนที่ไม่รู้ว่า ICO คืออะไร มีอธิบายในหัวข้อต่อไปครับ) เพื่อนำไปพัฒนา Decentralized Digital Lending Platform (DDLP) หรือการให้คนกู้เงิน ‘ดิจิทัล’ ผ่านมือถือ โดยมีบริษัทที่เกี่ยวข้อง 3 บริษัท ได้แก่
1. Jaymart เมื่อก่อนเป็นที่รู้จักในฐานะบริษัทขายมือถือและอุปกรณ์เสริม แต่ตอนนี้แปลงสภาพเป็น Holding Company ที่มีบริษัทลูกในเครือหลายบริษัท
2. JFintech บริษัทลูกที่ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายย่อย ซึ่งต้องการทุนที่ได้จาก JFin Coin มาพัฒนา Decentralized Digital Lending Platform (DDLP)
3. JVentures หรือ JVC บริษัทลูกที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2560 เกิดมาเพื่อสร้างกระบวนการ Digital Transformation ให้กับบริษัทในเครือ และเป็นบริษัทที่กำลังระดมทุนด้วยวิธี ICO โดยออก Digital Token ชื่อ ‘JFin Coin’
Jaymart Group
แล้ว ICO คืออะไร?
ICO (Initial Coin Offering) คือการระดมทุนรูปแบบหนึ่งผ่านการเสนอขาย ‘เหรียญดิจิทัล’ หรือ ‘Digital Token’ ที่สร้างบนระบบ Blockchain โดยแต่ละ Digital Token จะมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันตามจุดประสงค์ของผู้ออกเหรียญ
โดยปัจจุบันตลาดได้แบ่ง Digital Token ออกเป็น 5 ประเภท
1. Currency Token: เสมือนสกุลเงินออนไลน์ที่สามารถใช้ในการซื้อ-ขายสินค้าและบริการ และมีมูลค่าของมันเอง
2. Utility Token: เป็น Token ที่สามารถให้การเข้าถึงหรือใช้บริการในแพลตฟอร์มผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัท (Utility Token นั้นไม่ได้ออกแบบมาสำหรับให้ลงทุน)
3. Asset Token: เสมือนสินทรัพย์หรือผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่จริง
4. Reward Token: เสมือนรางวัลที่ให้แก่ผู้ใช้บนแพลตฟอร์มนั้นๆ
5. Security Token: เสมือนหลักทรัพย์ที่มีตัวตน มีความคล้ายคลึงกับหุ้น และแสดงถึงความเป็นเจ้าของ
ทั้งนี้ ข้างต้นเป็นเพียงการแบ่งโดยวัตถุประสงค์ของ Token เท่านั้น เนื่องจาก Token หนึ่งอาจมีได้มากกว่าหนึ่งวัตถุประสงค์
ทำไมต้อง ICO?
อย่างที่บอกว่าบริษัท JVentures หรือ JVC ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2560 (หรือปีที่แล้วนี่เอง) เพื่อทำการ Digital Transformation หรือการวางกลยุทธ์แบบดิจิทัลในทุกภาคส่วน โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ Digital Drive Data และนำ Data Drive Customer Experience ให้กับทุกบริษัทในเครือของ Jaymart (หนึ่งในนั้นคือบริษัท JFintech ที่ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อเป็นหลัก)
โดย JVC บอกว่าจะทำการ Digital Transformation สำเร็จได้ต้องทำ 5 สิ่งนี้ให้เกิดขึ้น ได้แก่
1. Credit Scoring ระบบเครดิตส่วนบุคคลออนไลน์ ที่สามารถเช็ก score / rating เรื่องการเงินของคนคนนั้นได้ทันที
2. Big Data
3. E-Wallet หรือระบบชำระเงินผ่านมือถือ ซึ่งทาง JVC ได้ไปถือหุ้น 10%ในบริษัท T2P เจ้าของแอปพลิเคชัน E-Wallet ที่มีชื่อว่า ‘Deep Pocket’
4. Blockchain Technology
5. Artificial Intelligence
จะเห็นว่า Blockchain Technology คือ 1 ใน 5 เสาหลักของ JVC และเป็นเทคโนโลยีที่ JVC ใช้ในการระดมทุน ICO โดยออกเหรียญ JFin Coin
ส่วนเหตุผลที่ใช้วิธี ICO ก็เพราะนี่คือการระดมทุนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่งในแง่ของการรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นหรือ Stakeholders ทุกคนของ Jaymart
เนื่องจาก ICO เป็นการระดมทุนที่ไม่ Dilute หุ้น (การให้สิทธิ์นักลงทุนคนอื่นมาถือหุ้น) ของบริษัท และไม่เสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย แต่จะให้ Digital Token แก่ผู้ลงทุน โดยบริษัทจะเอา Digital Token นี้ไปทำให้เกิดมูลค่าและประโยชน์ในอนาคต
ดังนั้น ICO จึงเป็นการระดมทุน ‘แห่งอนาคต’ อย่างแท้จริง
(เปรียบเสมือนการ Crowdfunding รูปแบบหนึ่ง เช่นเดียวกับ Kickstarter หรือ Indiegogo)
แต่ประโยชน์ของ Blockchain ไม่ใช่แค่การทำ ICO หรือเสนอขายเหรียญนะครับ และ JVC ก็ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ในการออกเหรียญ JFin Coin มากกว่านั้น
ถึงตรงนี้ ผมขอแวะไปพูดถึง Blockchain นิดหนึ่งนะครับ แล้วจะวกกลับมาอธิบาย JFin Coin ต่อ…
###
Blockchain เทคโนโลยีที่ทำให้โลกของธุรกรรมไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง เพราะข้อมูลจะถูกส่งต่อให้กับทุกคนในระบบ
Blockchain คือเทคโนโลยีที่ช่วยในการเก็บข้อมูล Transaction ต่างๆ โดยไม่ต้องอาศัยคนกลางและไม่มีศูนย์กลาง
ถ้าอธิบายให้ง่ายที่สุด ในระบบ Blockchain ทุกๆ คนจะมีสมุดบัญชีเล่มเดียวกัน ทุกๆ ครั้งที่มีคนทำ Transaction ระบบจะอัพเดตข้อมูลให้กับทุกๆ คนที่อยู่ในระบบเป็นทอดๆ คล้ายเป็นลูกโซ่ ทำให้ทุกคนมีข้อมูลที่เหมือนกัน ถ้าคนใดคนหนึ่งคิดฉ้อฉล อยากจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูล Transaction ของตัวเองต้องบอกว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ เพราะทุกคนได้ข้อมูลนั้นไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ Blockchain จึงเป็นระบบที่ ‘ปลอดภัย-โปร่งใส’ เพราะธุรกรรมเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถแก้ไขได้ ประมวลผลและทำงานผ่านฟีเจอร์ที่อยู่บนระบบแพลตฟอร์ม Blockchain ที่เรียกว่า ‘Smart Contract’
###
แล้ว JFin Coin เอา Blockchain มาใช้อย่างไร?
หนึ่ง ระดมทุนด้วยวิธี ICO โดย JVC เป็นคนขาย Digital Token หรือ JFIN Coin ให้กับผู้ลงทุน แล้วเอาเงินจากการระดมทุนไปให้ลูกค้า (JFintech) ใช้ในการพัฒนา Decentralized Digital Lending Platform (DDLP) หรือการให้คนกู้เงินผ่านมือถือ
สอง นำ JFin Coin มาใช้เป็น ‘Utility Token’ ในการทำ ‘Proof of Stake’ เพื่อที่จะประมวลผลและ Validate Transaction นั้นๆ ในระบบ DDLP ว่าข้อมูลถูกต้อง โดยคนประมวลผลจะได้ JFin Coin จำนวนหนึ่งเป็นผลตอบแทน
แผนภาพนำระบบ Blockchain มาใช้งานของ JFIN Coin
1. Proof of Work คือ การให้คนมาแข่งกันแก้โจทย์สมการทางคณิตศาสตร์ โดยใช้พลังการประมวลผลมายืนยัน Transaction เพื่อจะได้สิทธิ์การ Validate Transaction ดังนั้น เครื่องยิ่งแรงก็จะยิ่งมีโอกาสแก้โจทย์คณิตศาสตร์ได้เร็วกว่าคนอื่น เพื่อจะได้ Token จำนวนหนึ่งเป็นผลตอบแทน แต่วิธีนี้มีข้อเสียคือใช้พลังงานเปลืองมาก
2. Proof of Stake คือ การใช้หลักประกันหรือ Token ในการ Validate Transaction ยิ่งใส่ Token เข้ามาในระบบมากเท่าไร ก็ยิ่งมีสิทธิ์จะได้รับเลือกทำการประมวลผลมากเท่านั้น โดยจะได้ Token จำนวนหนึ่งเป็นผลตอบแทนเช่นกัน]
###
ทำไม JFin Coin ถึงน่าสนใจ?
ตอบในเบื้องต้น เพราะนี่เป็น Digital Token ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รายแรกที่ทำการระดมทุนแบบ ICO เพื่อนำไปสร้างเทคโนโลยี
ส่วนในเชิงลึกจะน่าสนใจแค่ไหน แนะนำให้อ่านรายละเอียดใน White Paper ของ JFin Coin
###
ไทม์ไลน์และโร้ดแมพของ JFIN Coin
อ่านมาถึงตรงนี้ สรุปแล้ว JFin Coin คืออะไร?
ตอบ… JFin Coin คือ Digital Token ที่ใช้เป็นพื้นฐานของระบบให้คนกู้เงินผ่านระบบมือถือหรือ Decentralized Digital Lending Platform (DDLP)
โดยคนที่ลงทุน (ทุนในที่นี้คือ ‘เงิน’) จะได้รับ JFin Coin จาก JVC บริษัทที่ระดมทุนเป็นผลตอบแทน ซึ่งบริษัทจะจูงใจให้คนมาลงทุนด้วยการบอกว่า จะนำเงินไปพัฒนาระบบ DDLP ของ JFintech แน่นอน ถ้าระบบไปได้ดี มูลค่าเหรียญก็จะเพิ่มขึ้น (ในทางกลับกัน ถ้าไม่เวิร์ก มูลค่าก็จะลดลง)
ที่สำคัญมูลค่าของเหรียญจะไม่ถูกกร่อนจากการซื้อ ขาย และแลกเปลี่ยน เหมือนการทำธุรกรรมผ่านธนาคารหรือตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะถูกหักค่าธรรมเนียม เนื่องจากธุรกรรมเกิดขึ้นบนระบบ Blockchain
ในโลกที่ไม่มีตัวกลาง แต่ให้สิทธิ์คนทุกคนตรวจสอบกันและกัน การเกิดขึ้นของ JFin Coin จึงเปรียบเหมือนภาพตัวแทนของโลกใหม่ที่เดินทางมาถึงเมืองไทย
แม้ว่าจะไม่อยากเจอ แต่ถึงที่สุดการเปลี่ยนแปลงย่อมมาถึง
และไม่แน่ว่า JFin Coin อาจเป็น…ก้าวสำคัญของการยกระดับ Fintech Ecosystem ของไทย
นับถอยหลัง 14 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 10:00 น. จะเริ่ม PRE-SALE เหรียญ JFIN Coin
- ถ้าสังเกตผมจะเรียก ‘เหรียญ’ ว่า Digital Token และขอย้ำว่า Digital Token ไม่ใช่ Currency! (บางคนอาจใช้คำว่า Crypto เรียก Digital Token ก็ได้) เพราะบางเหรียญไม่ได้ออกมาเพื่อเป็น Currency
- โลกยุคก่อนหน้านี้ ไม่ว่าการทำธุรกรรมอะไรก็ตาม จะมี ‘third party’ หรือคนกลางเป็นคนยืนยันการทำธุรกรรม เช่น ธนาคารยืนยันการทำธุรกรรมทางการเงิน แต่ในโลกของ Blockchain ไม่เชื่อถือคนกลาง (คนเดียว) อีกต่อไป แต่เชื่อในระบบคนกลางหลายๆ คนที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยระบบการยืนยัน Transaction บน Blockchain แบ่งออกเป็น 2 แบบ