ครั้งหนึ่งประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นเจ้าครองตลาดไมโครชิปของโลกกว่า 50% เมื่อช่วงปลายปี 1980 แต่ปัจจุบันส่วนแบ่งดังกล่าวลดลงมาเหลือเพียง 10% เนื่องจากบริษัทในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง Samsung Electronics ในเกาหลีใต้ มีความยืดหยุ่นทางการเงินและปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาดได้ดีกว่า และสามารถแย่งส่วนแบ่งจากญี่ปุ่นไปได้
ล่าสุด Bloomberg รายงานว่า รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมกำลังจัดเตรียมเงินทุนจำนวน 2 ล้านล้านเยน (ประมาณ 4.7 แสนล้านบาท) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตชิป เพื่อทวงคืนบัลลังก์ในฐานะผู้ผลิตไมโครชิปรายใหญ่ให้กลับมาอีกครั้ง แต่ญี่ปุ่นยังต้องการเงินสนับสนุนอีก 1.85 ล้านล้านเยนมาเป็นส่วนเสริม เพื่อให้มั่นใจว่าการผลิตชิปจะอยู่ภายในประเทศ
เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังนวัตกรรมสำคัญของโลกอนาคตทั้ง AI ไปจนถึงรถยนต์ไร้คนขับล้วนแต่จำเป็นต้องใช้เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ทำให้ญี่ปุ่นมองว่านี่จะเป็นเครื่องจักรหลักในการกอบกู้เศรษฐกิจของตัวเอง โดยเงินจำนวนหลักพันล้านดอลลาร์สหรัฐจะถูกใช้ไปกับการสนับสนุน Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) ซึ่งเป็นผู้นำในตลาด และ Rapidus Corp สตาร์ทอัพของประเทศญี่ปุ่น เพื่อเร่งขีดความสามารถในการแข่งขันการผลิตชิปชั้นสูงของตน
“ในปัจจุบันสถานการณ์ความมั่นคงในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มีความตึงเครียดมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ญี่ปุ่นจึงได้รับความสนใจจากทั้งในและต่างประเทศที่จะมาเข้ามาลงทุนมากขึ้น” เจ้าหน้าที่ประจำกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นกล่าวกับ Bloomberg
จากแผนการที่ญี่ปุ่นต้องการจะกลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้อีกครั้งหลังจากที่ซบเซามาหลายสิบปี ตอนนี้พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความจริงจังโดยการยอมแบกรับต้นทุนกว่าครึ่งไว้เองเพื่อสร้างโรงงานใหม่ของ TSMC และยังเตรียมงบประมาณอีกส่วนไว้เพื่อสร้างโรงงานให้กับ Micron Technology ด้วย
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังต้องการวางให้ Rapidus ที่เป็นสตาร์ทอัพผู้ผลิตชิปของตัวเอง สามารถก้าวขึ้นมาทัดเทียมเพื่อแข่งกับ TSMC และ Samsung Electronics โดยตั้งเป้าว่าจะต้องผลิตชิปขั้นสูงได้ภายในปี 2027 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจญี่ปุ่น
อ้างอิง: