ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวันนี้ (24 กุมภาพันธ์) ดัชนี SET ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่สามติดต่อกัน ลดลงไปกว่า 30 จุด จากราคาปิดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยนักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายที่ขายออกมารวมกันกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ต่างชาติขายหุ้นไทยไปกว่า 3 หมื่นล้านบาท
ส่วนการดิ่งลงในวันนี้ถึง 17.7 จุด ถูกกดดันมาจากกลุ่มพาณิชย์ (COMM) กดดันดัชนีราว 5 จุด รองลงมาคือกลุ่มพลังงาน (ENERG) 2.5 จุด และกลุ่มสื่อสาร (ICT) 2 จุด หุ้นที่กดดันดัชนีมากที่สุดในช่วงเช้านี้คือหุ้นของ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ลดลง 5% ไปแตะระดับ 61.75 บาท ส่งผลให้ราคาหุ้นทำจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 3 เดือน
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า CPALL รายงานกำไรไตรมาส 4 ต่ำกว่าคาด 20% จากเรื่องเงินโบนัสพนักงานก้อนใหญ่ ทำให้นักลงทุนเทขายออกมา และดึงให้หุ้นกลุ่มค้าปลีกอื่นๆ ลงมาด้วย แม้ว่าบางตัวอาจจะประกาศงบออกมาดี
นอกจากนี้ กลุ่มโรงไฟฟ้าเองก็มีปัจจัยกดดันจากการที่บริษัทบางส่วนยื่นต่อศาลปกครองให้คุ้มครองการประมูลใบอนุญาตขายไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้การประกาศผลผู้ชนะการประมูลรอบสุดท้าย วันที่ 22 มีนาคมนี้ อาจล่าช้าออกไปได้
“เชื่อว่าดัชนี SET ที่ลงไปต่ำกว่า 1,650 จุด น่าจะเป็นโอกาสสะสม โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่แข็งแกร่งกว่าตลาดในวันนี้ โดยแต่ละบริษัทจะทยอยประกาศเงินปันผลครึ่งปีหลังออกมา ส่วนกลุ่มค้าปลีกหากมีการประกาศยุบสภาอย่างเป็นทางการน่าจะฟื้นตัวกลับมาได้”
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า หุ้นไทยที่ลดลงในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ต้องให้น้ำหนักกับปัจจัยภายใน สะท้อนผ่านค่าเงินบาทที่ Underperform โดยเงินบาทถือเป็นสกุลเงินที่แข็งค่ากลับมาได้น้อยที่สุดเป็นอันดับ 3 เทียบกับภูมิภาค
ปัจจัยกดดันที่สำคัญที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาต่ำกว่าคาดอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และจะนำไปสู่การปรับลดประมาณการกำไรของนักวิเคราะห์
“ช่วงนี้จะเห็นการออกมา Downgrade กำไร บจ. ของนักวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ถามว่าจะจบเมื่อใด มองว่าน่าจะจบเมื่องบไตรมาส 4 ออกมาครบแล้ว หลังจากนั้นจะเริ่มปรับมุมมองกันอีกครั้ง”
ส่วนอีกปัจจัยที่อาจจะมีน้ำหนักอยู่บ้างคือเรื่องของการเลือกตั้ง โดยเฉพาะความไม่แน่นอนในเรื่องของกรอบเวลา เพราะการปรับกฎเกณฑ์ต่างๆ เช่น เรื่องเกณฑ์การแบ่งเขต เป็นต้น ทั้งนี้ หากการเลือกตั้งเลื่อนออกไปจะกระทบต่อตลาดหุ้นไม่มากก็น้อย
“ในระยะสั้นหุ้นไทยน่าจะเริ่มแกว่งตัวออกข้างหลังจากแรงกดดันเรื่องกำไรสะท้อนไปพอสมควร ส่วนเรื่องของการเลือกตั้งที่ทำให้นักลงทุนคาดหวังเชิงบวกสะท้อนไปในราคาพอสมควร หากมีการเลื่อนอาจกระทบต่อดัชนีในทางลบ”
ด้านปัจจัยต่างประเทศที่ต้องจับตาคือตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เดือนก่อนเพิ่มขึ้นถึง 5 แสนตำแหน่ง ทำให้นักลงทุนทั่วโลกยังไม่กล้ากลับเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงหุ้น หากตัวเลขเริ่มชะลอลง น่าจะเริ่มเห็นนักลงทุนกล้ากลับเข้ามาลงทุนในหุ้นอีกครั้ง
ณัฐชาตกล่าวต่อว่า กรณีเลวร้ายสุดของหุ้นไทยในรอบนี้ไม่น่าจะต่ำกว่า 1,590-1,600 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่ากรณีฐานของเราที่ 1,640 จุด อิงจากกำไรตลาดปีนี้ 117 บาท คูณกับ Forward P/E 14 เท่า
“กลุ่มที่แข็งกว่าตลาดในตอนนี้คือโรงแรม ล่าสุดดัชนีกลุ่มทำจุดสูงสุดรอบ 4 ปี สอดคล้องกับภาพใหญ่ที่การท่องเที่ยวกลายเป็นเครื่องยนต์หลักตัวเดียวที่หนุนเศรษฐกิจไทย”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ส่อง Top 5 หุ้น IPO ‘ดาวรุ่ง-ดาวร่วง’ ประจำปี 2565
- รีวิว ‘มาตรการกำกับ’ ฉบับเข้มข้น พบ 3 หุ้น ‘BGT, JTS และ TEAMG’ เข้าระดับ 3 ในปีนี้
- ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศหุ้นเข้า SET50-SET100 รอบเดือน ม.ค.-มิ.ย. ปี 66