สรุปประเด็นเด่นประชุม G7 ผู้นำโลกเห็นพ้องช่วยยูเครน จับมือสู้อิทธิพลจีน

การประชุมของชาติสมาชิกกลุ่ม G7 เตรียมปิดฉากลงในวันนี้ (21 พฤษภาคม) หลังบรรดาผู้นำจากทั่วโลกได้มาร่วมประชุมกันอย่างเข้มข้นตลอด 3 วันที่ผ่านมา

ประเด็นที่ใหญ่ที่สุดของการประชุมครั้งนี้เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อมานานถึง 15 เดือน โดยเซอร์ไพรส์ใหญ่ที่คนทั่วโลกต่างจับตาคือ การที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ออกโรงสนับสนุนให้ชาติพันธมิตรร่วมกันฝึกอบรมการขับเครื่องบิน F-16 ให้กับทหารยูเครน พร้อมส่งสัญญาณว่า สหรัฐฯ ยินยอมให้ชาติเหล่านั้นสามารถจัดหาเครื่องบินรบให้กับยูเครนได้ ขณะที่ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ได้บินตรงจากซาอุดีอาระเบียมายังจังหวัดฮิโรชิมาของญี่ปุ่น เพื่อร่วมพบปะผู้นำโลกแบบตัวต่อตัว

ผู้นำโลกคุยอะไรกันบ้างในช่วง 3 วันที่ผ่านมา THE STANDARD สรุปรวมประเด็นเด่นมาไว้ให้เรียบร้อยแล้วในบทความนี้

G7 เห็นพ้องหนุนยูเครนสู้ศึกรัสเซียเต็มกำลัง

ผู้นำจากชาติสมาชิกกลุ่ม G7 ซึ่งได้แก่ สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, เยอรมนี, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, อิตาลี และแคนาดา ได้ส่งสัญญาณดังๆ ถึงรัสเซียว่า พวกเขาพร้อมที่จะยืนหยัดเคียงข้างยูเครนในระยะยาว อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้เซเลนสกีได้พบปะพูดคุยกับผู้นำชาติอื่นๆ นอกเหนือจากกลุ่ม G7 ด้วยตัวเอง เช่น บราซิลและอินเดีย ในการประชุมวันสุดท้าย

ข่าวที่ใหญ่ที่สุดจากการประชุมครั้งนี้คือ การที่ไบเดนประกาศสนับสนุนความร่วมมือของเหล่าชาติพันธมิตรที่จะเปิดการฝึกอบรมให้นักบินของยูเครนสามารถขับ F-16 ได้ ในช่วงเวลาที่ยูเครนต้องการเสริมแสนยานุภาพด้านการโจมตีทางอากาศ เพื่อหวังพลิกเกมในสมรภูมิรบกับรัสเซีย

ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า ชาติที่จะช่วยในการฝึกอบรม ได้แก่ สหรัฐฯ, อังกฤษ, เนเธอร์แลนด์, เบลเยียม และเดนมาร์ก ส่วนประเด็นด้านการจัดส่งเครื่องบินรบรุ่นดังกล่าวยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัด โดย ริชี ซูนัค นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกมาประกาศในช่วงท้ายการประชุมว่า อังกฤษจะเริ่มโครงการฝึกอบรมนักบินยูเครนในช่วงฤดูร้อนนี้

โอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เปิดเผยว่า โปรแกรมฝึกอบรมนักบินของยูเครนจากบรรดาชาติพันธมิตร ถือเป็นการส่งสารสำคัญให้รัสเซียรู้ว่า ‘รัสเซียไม่สามารถคว้าชัยชนะจากการรุกรานยูเครนได้’ แม้จะพยายามสร้างสถานการณ์ให้สงครามยืดเยื้อกินเวลานานก็ตาม

ด้านประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง กล่าวว่า การปรากฏตัวของเซเลนสกีถือเป็น ‘ตัวเปลี่ยนเกม’ สำคัญ และเวที G7 ปีนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะโน้มน้าวให้ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลักๆ อย่างอินเดียและบราซิล ก้าวออกจากจุดยืนเดิมของตัวเอง และหันมาให้การสนับสนุนยูเครนดังเช่นชาติตะวันตก

นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่ ซึ่งมุ่งเป้าไปยังบุคคลหรือองค์กรอีกกว่า 300 แห่งของรัสเซีย อีกทั้งยังได้ประกาศความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนมูลค่า 375 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงปืนใหญ่ กระสุน และระบบยิงจรวด HIMARS

ด้านอังกฤษได้ประกาศแผนแบนการนำเข้าเพชร, ทองแดง, อะลูมิเนียม และนิกเกิล จากรัสเซีย รวมถึงมีการประกาศมาตรการคว่ำบาตรระลอกใหม่ต่อรัสเซียด้วย โดยมุ่งเป้าไปที่บริษัทที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการขโมยธัญพืชของยูเครน

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เซเลนสกีเดินทางถึงญี่ปุ่นได้เพียงไม่นาน รัสเซียก็ได้ประกาศชัยชนะเหนือสมรภูมิบัคมุต โดยอ้างว่าทหารรับจ้างหน่วยแวกเนอร์และกองกำลังของรัสเซียสามารถยึดพื้นที่เมืองบัคมุตในภูมิภาคดอนบาสของยูเครนไว้ได้หมดแล้ว ขณะที่ทางการยูเครนปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าว พร้อมยืนยันว่า พื้นที่เมืองบัคมุตยังมีการสู้รบกันอยู่

G7 รับ จีนคือความท้าทายใหญ่ แต่ตัดทิ้งไม่ได้

ผู้นำกลุ่ม G7 ได้ระบุถึงแนวทางที่มีต่อจีน โดยทุกประเทศเรียกร้องให้จีนเข้ามามีบทบาทในการกดดันให้รัสเซียยุติสงครามในยูเครน แต่ในแง่ของเศรษฐกิจนั้น ทุกประเทศหวังที่จะได้มีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจกับจีนต่อไป โดยยึดหลักการ ‘ลดความเสี่ยง แต่ไม่แยกตัวออกจากกัน’ (De-Risk, Not Decouple)

ซูนัคกล่าวว่า จีนถือเป็น ‘ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของโลก’ ทั้งในแง่ของความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรือง แต่ถึงเช่นนั้นประเทศเขตเศรษฐกิจใหญ่อื่นๆ ก็ไม่ควรที่จะแยกตัวจากจีนไปอย่างสิ้นเชิง

ผู้นำ G7 กล่าวว่า ความร่วมมือกับจีนถือเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากจีนเป็นชาติที่มีบทบาทสำคัญบนเวทีโลก โดยจีนเป็นประเทศที่มีเขตเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก หรือเป็นรองเพียงแค่สหรัฐฯ อีกยังเป็นชาติที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยโลกลดภาวะโลกรวนและการอนุรักษ์ธรรมชาติ

แต่ถึงเช่นนั้นชาติต่างๆ ก็เห็นพ้องกันว่า ควรมีการดำเนินการเพื่อปกป้องความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีจากจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของแต่ละชาติได้ แต่การดำเนินการในส่วนดังกล่าวต้องไม่ไปจำกัดการค้าและการลงทุนมากเกินควร

โอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า ชาติ G7 จะเดินหน้าสร้างหลักประกันว่า การลงทุนขนาดใหญ่กับจีน ซัพพลายเชน และการส่งออกไปยังจีน จะเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น แต่ขณะเดียวกันก็จะพยายามลดความเสี่ยงที่มีอยู่

กลุ่ม G7 หวังลดช่องว่างขนาดใหญ่ที่มีต่อประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในกลุ่มประเทศโลกซีกใต้ โดยจะมุ่งเน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐานและการบรรเทาหนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะช่วยลดทอนอำนาจของจีนที่มีต่อประเทศรายได้น้อย

ผู้นำกลุ่ม G7 เห็นพ้องที่จะร่วมมือกันต่อต้าน ‘การบีบบังคับทางเศรษฐกิจ’ โดยเรียกร้องให้ทุกประเทศทั่วโลกงดเว้นการใช้เศรษฐกิจมาเป็นเครื่องมือสร้างผลประโยชน์ทางการเมือง พร้อมให้คำมั่นว่า ชาติสมาชิกจะประสานงานกัน เพื่อสร้างหลักประกันว่าจะไม่ให้มีประเทศใดที่ใช้การพึ่งพาทางเศรษฐกิจเป็นประหนึ่งอาวุธที่บีบบังคับให้ชาติอื่นๆ ต้องยอมจำนน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการพุ่งเป้าไปที่จีน

สำหรับประเด็นไต้หวัน แถลงการณ์จากกลุ่ม G7 ยังคงเน้นย้ำถึงความสำคัญในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพข้ามช่องแคบไต้หวัน ท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไต้หวันที่มีความตึงเครียด และเห็นได้ชัดว่าจีนพยายามเพิ่มแรงกดดันทางทหารต่อไต้หวันมากขึ้นกว่าเดิม

ด้วยสถานการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้จีนได้ออกมาคัดค้านแถลงการณ์ร่วมของ G7 อย่างรุนแรง อีกทั้งยังตำหนิญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในปีนี้ โดยระบุว่า แถลงการณ์ที่ออกมาได้มองข้ามสิ่งที่จีนวิตกกังวล อีกทั้งยังมุ่งเป้าโจมตีจีนโดยตรง และเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ

เก็บตกประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและไอที

ผู้นำกลุ่ม G7 สนับสนุนการลงทุนด้านก๊าซ โดยเรียกว่าสิ่งนี้เป็น ‘ขั้นตอนชั่วคราว’ เพื่อเปิดช่องให้ชาติต่างๆ สามารถลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียได้ อย่างไรก็ตาม นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมได้ออกมาแสดงความกังวลว่า ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายด้านสภาพอากาศของโลกในอนาคต

ขณะเดียวกันกลุ่ม G7 ยังคงยืนยันความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนบนท้องถนนในระดับสูงภายในปี 2030 และความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์บนท้องถนนภายในปี 2050

นอกจากนี้ชาติสมาชิกยังเรียกร้องให้มีการกำหนดมาตรฐานทางเทคนิคร่วมกัน เพื่อควบคุมความน่าเชื่อถือของ AI และให้ก้าวทันเทคโนโลยีที่พัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ภาพ: Stefan Rousseau-WPA Pool / Getty Images

อ้างอิง: