×

หมื่นล้านเข้าไทยอย่างไร? เปิดเส้นทางฟอกเงิน Hybrid Scam แบบหมดเปลือก และความเสี่ยงเชิงระบบที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย

03.12.2025
  • LOADING...
หมื่นล้านเข้า ไทยอย่างไร? เปิดเส้นทางฟอกเงิน Hybrid Scam แบบหมดเปลือก และความเสี่ยงเชิงระบบที่ฉุดรั้ง เศรษฐกิจ ไทย

HIGHLIGHTS

  • มหาเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติ ใช้ไทยเป็น ‘สถานีปลายทาง’ แปลง Crypto เป็นอสังหาฯ ผ่านนอมินี
  • เงินผิดกฎหมายไหลเข้าตลาดอสังหาฯ มากพอจะ ‘ดันราคาเพี้ยน’ ในบางโซนของกรุงเทพฯ – พัทยา
  • ผู้เชี่ยวชาญเตือนไทยกำลังเข้าใกล้จุดที่ FATF และ OECD อาจ ‘จับตาเข้ม’ เรื่องมาตรฐาน AML/CFT
  • กรณี ‘ยึดหุ้นบางจาก’ สะท้อนช่องโหว่โครงสร้างตลาดทุน ขณะที่บริษัทชี้แจงชัด ไม่เกี่ยวข้องการฟอกเงิน และพร้อมร่วมมือภาครัฐ

ปปง. ขยายผลคดี Hybrid Scam ครั้งใหญ่ ยึดทรัพย์ 289 รายการ มูลค่ารวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมเครือข่ายกัมพูชา -จีน – ข้ามชาติ ตั้งแต่กลุ่ม เบนสมิธ-แตงไทย, เฉิน จื้อ, ก๊ก อาน และ Aella Max โครงสร้างอาชญากรรมที่ซ่อนอยู่หลังเงินดิจิทัลกำลังโยงมาถึงตลาดอสังหาฯ ไทยโดยตรง และอาจกลายเป็นตัวเร่งให้ไทยถูกจับตาโดย FATF และ OECD หนักขึ้นกว่าเดิม

 

เปิดเส้นทางฟอกเงิน: Mapping แบบ Step-by-Step

 

ภาพรวมจากสำนวนคดีและพฤติการณ์ของ 4 เครือข่ายใหญ่ สะท้อนถึงความเป็นจริงที่น่าตกใจ โดยเงินผิดกฎหมายไม่ได้วิ่งจาก ‘บัญชีม้า -> ซื้อของหรู’ แบบยุคก่อนอีกต่อไป แต่กลายเป็น Supply Chain เต็มรูปแบบ ที่ใช้ทั้งเทคโนโลยี สกุลเงินดิจิทัล และช่องว่างในตลาดอสังหาฯ ของไทย

 

หากวิเคราะห์ ‘ไทม์ไลน์ธุรกรรม’ จะทำให้เห็นภาพชัดสุดว่า เงินเทานี้ไหลอย่างไร

 

Step 1: เริ่มต้นที่โลก Crypto Wallet

 

เงินจากการหลอกลวง จะเข้าสู่ Hybrid Scam, Romance Scam, Investment Scam และจะถูกเก็บในรูป คริปโต โดยเฉพาะ USDT และเหตุผลที่เก็บเป็น USDT ก็เพราะ USDT เป็น Stablecoin ที่เสถียร, เคลื่อนย้ายเร็ว, ตรวจสอบย้อนเส้นทางได้ยากกว่าเงินสดในธนาคารบางประเทศ

 

Step 2: Swap เป็น USDT -> กระจายหลาย Wallet

 

อาชญากรใช้เทคนิค ‘Chain Hopping’ (ข้ามบล็อกเชน) และ ‘Wallet Layering’ (ซอยย่อยกระเป๋าเงิน) เพื่ออำพรางเส้นทางการเงิน กระบวนการนี้ใช้ Bot และบริการ Mixing เพื่อลดความเชื่อมโยงระหว่างต้นทาง – ปลายทาง

 

Step 3: ส่งเข้า Exchange ที่ไม่ใช้ KYC หรือใช้ KYC ผ่านคนกลาง

 

ทั้งนี้ หลายคดีพบรูปแบบเดียวกัน นั่นคือการเปิดบัญชีบน Exchange ผ่าน ‘นอมินี’ ทั้งไทยและต่างชาติ โดยบางรายใช้ ‘บัญชีม้า’ เปิดด้วยการสแกนใบหน้า บางกลุ่มแลกเป็นเงินบาทโดยตรงผ่านตลาด OTC

 

Step 4: นอมินี ในฐานะบริษัทเปลือก

 

เมื่อเงินออกจาก Exchange แล้ว เครือข่ายจะใช้บริษัทนอมินีที่จดในไทย (หรือใช้บริษัทที่ก่อตั้งไว้แล้ว) เพื่อ

  • โอนเงินข้ามบัญชี
  • สร้างเอกสารธุรกิจปลอม เช่น invoice และยอดขาย
  • ทำให้เงินดูเหมือนรายได้ปกติ

 

Step 5: ซื้อคอนโด – ที่ดิน – อสังหาฯ

 

จุดหมายปลายทางคือ ‘สินทรัพย์ที่จับต้องได้’ เพราะ

 

  • ตรวจสอบยาก
  • ซื้อผ่านนอมินีได้
  • ราคาปล่อยขายต่อสามารถปรับได้ตามใจ
  • เป็นสินทรัพย์ที่เอาไปค้ำกู้หรือเข้าระบบต่อได้

 

สำหรับคดี เบนสมิธ – แตงไทย ทรัพย์ที่ถูกยึดส่วนใหญ่คือ ที่ดิน, คอนโด, หลักทรัพย์ รวม 9,279 ล้านบาท ถือเป็นเครือข่ายที่ใช้ ‘อสังหาฯ ไทย’ เป็นปลายทางมากที่สุด

 

ผลกระทบเศรษฐกิจจริง: ราคาอสังหาฯ – เงินสกปรกไหลเข้าระบบ และความเสี่ยง FATF โดนจับตา

 

ภาพรวมปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องอาชญากรรม แต่เริ่มขยับเป็น ‘ความเสี่ยงเชิงระบบ’ ของเศรษฐกิจไทยใน 3 ทางพร้อมกัน

 

1. ตลาดอสังหาฯ ถูกบิดเบือนราคา (Price Distortion)

 

เมื่อเงินผิดกฎหมายไหลเข้าซื้อคอนโด – ที่ดินผ่านนอมินี ราคาทรัพย์ในบางทำเลจะ ‘สูงกว่าความเป็นจริง’ เพราะผู้ซื้อไม่ได้กังวลต้นทุน ทั้งนี้ โมเดลเดียวนี้เคยเกิดขึ้นในแวนคูเวอร์, ซิดนีย์ และฮ่องกง

 

จุดร่วมคือราคาบ้านพุ่งเร็วกว่ารายได้จริงของประชาชน เพราะมี ‘อุปสงค์เทียม’ จากเงินนอกระบบ ดันราคาให้หลุดไปจากปัจจัยพื้นฐาน

 

2. ระบบการเงินปนเปื้อนเงินผิดกฎหมาย

 

เมื่อเงินจาก scam เข้าไปหมุนในระบบผ่านนอมินี, บริษัทเปลือก และการซื้อสินทรัพย์ เงินจำนวนนี้จะเข้าไปปะปนกับระบบเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์ ซึ่งทั้งธนาคาร, ผู้พัฒนาอสังหา รวมถึงผู้ให้บริการ exchange อาจเสี่ยงกับการ ‘รับรู้ไม่ครบถ้วน’ ว่าเงินต้นทางคืออะไร

 

3. ความเสี่ยงถูกจับตาจาก FATF / OECD หนักขึ้น

 

หลายประเทศเคยโดนขึ้น Grey List เพราะตลาดอสังหาฯ เปิดรับเงินต่างชาติแบบตรวจสอบยาก, การกำกับ Crypto ยังตามไม่ทัน รวมถึงใช้นอมินีมากเกินไปในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน

 

ทั้งนี้ หากไทยถูกมองว่ากลายเป็น ‘ปลายทางของเงินสกปรกอาเซียน’ จะเสี่ยงเชิงระบบเศรษฐกิจขึ้นหลายด้าน ทั้งต้นทุนกู้ยืมจากต่างประเทศสูงขึ้น, นักลงทุนต่างชาติชะลอเข้ามา รวมถึงระบบธนาคารต้อง Tighten AML ระดับสูงขึ้น

 

ทำไมไทยเสี่ยงกลายเป็น Hub ฟอกเงินของอาเซียน?

 

เมื่อมองครบทั้ง Supply Chain ของอาชญากรรม จะพบปัจจัยโครงสร้างชัดเจน 4 ข้อ

 

1. ช่องโหว่ด้าน KYC–AML ในตลาด Crypto ยังไม่ปิดสนิท

 

แม้ไทยออกกฎคริปโตเข้มระดับหนึ่ง แต่ตลาด OTC, Exchange ต่างชาติ, Wallet นอมินี ยังเป็นช่องทางที่คุมยาก

 

2. ตลาดอสังหาฯ ไทยเปิดให้ Non-Resident ซื้อได้ง่ายกว่าเพื่อนบ้าน

 

ทั้งนี้ กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย มีข้อจำกัดเข้มกว่า ในขณะที่ไทยมี supply คอนโดล้นเมือง ทำให้ไทยกลายเป็น ‘ตลาดพร้อมขาย’ สำหรับเงินที่ต้องการเปลี่ยนสภาพเป็นทรัพย์สิน

 

3. เครือข่ายอาชญากรรมมีฐานในกัมพูชา แต่ต้องการ ‘ปลายทางที่มั่นคง’

 

พิสูจน์ทราบได้จากการที่มีหลายคดี เช่น เฉิน จื้อ, ก๊ก อาน, เบนสมิธ–แตงไทย ล้วนปฏิบัติการในกัมพูชา แต่ปลายทางฟอกเงินคือไทย ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นระบบศาลไทย, ตลาดอสังหาไทย และสกุลเงินบาท มีเสถียรภาพมากกว่า ทำให้ money laundering ‘น่าใช้กว่า’

 

4. ความเร็วของเทคโนโลยี vs ความเร็วของกฎระเบียบ

 

Hybrid Scam ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน – AI ซึ่ง voice – deepfake ก้าวเร็วกว่ากฎกำกับเสมอ ทำให้การฟอกเงินแบบใหม่ ‘ข้ามประเทศภายในไม่กี่นาที’ ซึ่งหน่วยงานรัฐไล่ไม่ทัน

 

ทั้งหมดนี้ทำให้ไทย ‘มีความพร้อมโดยไม่ตั้งใจ’ ที่จะถูกใช้เป็น hub ฟอกเงินในอาเซียน

 

ข้อเท็จจริงปม ‘ยึดหุ้นบางจาก’ และแถลงของบางจาก

 

ในการยึดทรัพย์รอบนี้ มีประเด็นที่สังคมให้ความสนใจคือกรณี ‘หุ้นบางจาก’ ซึ่ง
ข้อมูลจาก ปปง. ระบุชัดว่า หุ้นบางจากที่ถูกอายัด ไม่ได้เป็นทรัพย์ของบริษัทบางจาก
แต่เป็นทรัพย์สินในชื่อ ‘บุคคลที่เกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงิน’ ซึ่งไปถือครองหุ้นบางจากในตลาดหลักทรัพย์ ลักษณะเป็น ‘สินทรัพย์ลงทุน’ ที่คนร้ายใช้เพื่อบริหารเงิน

 

โดยทางบริษัท บางจาก ชี้แจงว่า “บริษัทไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นรายนั้น จึงไม่กระทบการดำเนินธุรกิจหรือฐานะการเงิน โดยบริษัทยืนยันว่าเป็นการอายัดทรัพย์เฉพาะบุคคล ไม่กระทบสิทธิสอดคล้องอื่นของผู้ถือหุ้นทั่วไป”

 

กล่าวอีกนัย หุ้นบางจากเป็น ‘ปลายทางที่คนร้ายเอาเงินไปซื้อ’ ไม่ใช่ ‘ต้นทางของปัญหา’ กรณีนี้สะท้อนอีกด้านหนึ่งว่าเงินผิดกฎหมายเริ่มเข้าสู่สินทรัพย์ที่เป็น ‘mainstream ทั้งตลาด’ มากขึ้น นอกเหนือจากอสังหาฯ

 

บทสรุป

 

คดีฟอกเงินรอบนี้ไม่ใช่แค่การยึดทรัพย์มูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านบาท แต่เป็นสัญญาณเตือนว่า เศรษฐกิจไทยกำลังถูกใช้เป็น ‘จุดแปลงสภาพเงินสกปรกที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน’

 

เส้นทาง Crypto -> OTC -> นอมินี -> อสังหาฯ กำลังกลายเป็นระบบนิเวศใหม่ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องเร่งปิดช่องโหว่ เพื่อลดความเสี่ยงที่ไทยจะถูกจับตาในระดับประเทศจาก FATF/OECD

 

กรณีปปง. ขยายผลคดี Hybrid Scam ครั้งใหญ่ และยึดทรัพย์ครั้งนี้ ยังเป็นเพียง ‘ยอดภูเขาน้ำแข็ง’ แต่เป็นยอดที่ใหญ่พอจะสะท้อนว่า เศรษฐกิจไทยต้องเลือกว่าจะยืนอยู่ฝั่งใดของระบบการเงินโลกที่กำลังเข้มงวดขึ้นอย่างรวดเร็ว

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising