หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) สร้างความประหลาดใจด้วยการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าเดิม 1 ปี ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวร่วงลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวานนี้ (17 มิถุนายน) ทองคำปิดตลาดลดลงกว่า 5% หลุดกรอบ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม ลดลง 86.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,774.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ราคาทองคำต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ
สถานีโทรทัศน์ CNN อธิบายว่า แม้ทองคำจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยยอดนิยมสำหรับรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ แต่การที่ Fed ส่งสัญญาณจัดการกับเงินเฟ้ออย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดวอลล์สตรีทหันไปถือครองสินทรัพย์อื่นอย่างพันธบัตร ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ทำให้ทองคำมีเสน่ห์ดึงดูดใจนักลงทุนน้อยลง จนนักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งเตือนว่า ราคาทองคำที่หลุดกรอบ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อาจเสี่ยงทำให้เกิดการเทขายทองครั้งใหญ่ได้
ด้านสถานการณ์ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวานนี้ ขานรับท่าทีของ Fed ด้วยการปิดตลาดแบบผสมผสาน โดยดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ลดลง 210.22 จุด หรือ 0.62% ปิดที่ 33,823.45 จุด, ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.84 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 4,221.86 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 121.67 จุด หรือ 0.87% ปิดที่ 14,161.35 จุด
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของตลาดเมื่อวานนี้มาจากความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ช่วยดันนักลงทุนเข้าถือครองหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ส่งให้ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น แต่ความกังวลจากคำแถลงของ Fed เกี่ยวกับเงินเฟ้อ ได้ฉุดให้ดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones และดัชนี S&P 500 ขยับลดลง
สำหรับภาพรวมของตลาด สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับจุดยืนของ Fed
ในส่วนของราคาน้ำมันปรับตัวลดลงกว่า 2% โดยสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสงวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม ลดลง 1.11 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 71.04 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนต์งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม ลดลง 1.31 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 73.08 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
โดยราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากความความกังวลต่อความต้องการบริโภคน้ำมัน หลังกรณีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่พุ่งสูงอีกครั้งในสหราชอาณาจักร ขณะที่ข้อวิตกเกี่ยวกับกำลังการผลิตน้ำมันของอิหร่านที่กำลังจะหวนคืนสู่ตลาดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ฉุดราคาน้ำมันเช่นกัน
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจนทำให้ต้องซื้อน้ำมันในราคาที่แพงกว่าสกุลเงินอื่นก็มีผลต่อความต้องการใช้น้ำมันเช่นกัน ขณะที่กลุ่มผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันจะกลับคืนสู่ระดับเดียวกันกับก่อนเกิดโควิด-19 ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2022
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
