- จับตาตัวเลขเศรษฐกิจ โดยวันนี้สหรัฐฯ มีกำหนดประกาศจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกประจำสัปดาห์ ซึ่งคาดว่าจะประกาศออกมาที่ 1.12 ล้านราย ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 1.186 ล้านราย และเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2
- วานนี้ มิคาอิล มูราชโก รัฐมนตรีสาธารณสุขรัสเซีย แถลงว่ารัสเซียจะเริ่มผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ในเวลาสองสัปดาห์ เพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศก่อน จึงค่อยผลิตเพื่อการส่งออก พร้อมทั้งย้ำว่า ข่าวที่ว่าหลายประเทศไม่มั่นใจต่อประสิทธิภาพของวัคซีนต้านโควิด-19 ของรัสเซียนั้นไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด และย้ำว่า วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้รับการฉีดวัคซีนดังกล่าวแล้ว โดยรัสเซียตั้งชื่อวัคซีนดังกล่าวว่า ‘สปุตนิก 5’ เนื่องจากนับเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่เท่ากับการแข่งขันด้านอวกาศกับสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเย็น ซึ่งสหภาพโซเวียตสามารถส่งดาวเทียม ‘สปุตนิก’ ขึ้นสู่วงโคจรเป็นครั้งแรกของโลก
- วานนี้สหภาพยุโรป (EU) ประกาศตัดสิทธิพิเศษทางการค้าต่อกัมพูชา ภายใต้โครงการ Everything But Arms (EBA) ซึ่งเป็นโครงการที่ให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่ประเทศยากจนที่สุดในโลกจำนวน 48 ประเทศ ที่ยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าแก่สินค้าทุกชนิด ยกเว้นอาวุธ ทั้งนี้ EU นับเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของกัมพูชา โดยกัมพูชาส่งออกสินค้าในสัดส่วน 45% ไปยัง EU ในปี 2561 คิดเป็นมูลค่า 5.4 พันล้านยูโร มาตรการดังกล่าวมีขึ้นหลังสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในกัมพูชามีแนวโน้มแย่ลง อย่างไรก็ตาม EU ยังคงเปิดกว้างสำหรับพัฒนาการดังกล่าว หากกัมพูชาดำเนินการปฏิรูป โดยให้สมาชิกพรรคฝ่ายค้านมีบทบาททางการเมือง และเริ่มกระบวนการปรองดองแห่งชาติ อาจทำให้ EU กลับมาพิจารณาให้สิทธิอีกครั้ง
- สหรัฐฯ ประกาศดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานประจำเดือนกรกฎาคมออกมาที่ 0.6% (MoM) สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 0.2% ซึ่งเป็นการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1991 สืบเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง ส่งผลให้การบริโภคกลับมาเร่งตัวขึ้นจากฐานที่ต่ำ
- โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ตัดสินใจเลือก คามาลา แฮร์ริส วุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นแคนดิเดตรองประธานาธิบดี (Running Mate) ในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าการเลือกแฮร์ริสเป็นไปเพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อเรื่องความเหลื่อมล้ำทางสีผิว และมองว่าไบเดนพยายามเรียกคะแนนความนิยมจากฝั่งชาวอเมริกันผิวสีในอเมริกา ท่ามกลางกระแสการประท้วงที่ยังคงรุนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง
ภาวะตลาดวานนี้
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแข็งแกร่ง บ่งชี้ถึงแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น รวมไปถึงความคืบหน้าของการผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ที่จะออกมาในเร็วๆ นี้ ลดความกังวลที่อาจกลับไปปิดเมือง ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกครั้ง สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับตัวขึ้นเช่นกันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมที่ยังอยู่โซนขยายตัวที่ 9.1% (MoM) แม้ว่าจะน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 10% (MoM) อย่างไรก็ตาม ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2 บางแห่งออกมาแข็งแกร่งและดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ด้วย
- สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจากตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นลง ลดความกังวลที่ปริมาณน้ำมันอาจกลับมาล้นตลาดอีกครั้งได้ ด้านสัญญาทองคำปรับตัวขึ้น หลังมีแรงเทขายทำกำไรจากนักลงทุนก่อนหน้านี้ ซึ่งปรับตัวลงมาเกือบ 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 4.5% รวมไปถึงการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งช่วยหนุนให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อทองคำอีกครั้ง
สหรัฐฯ
- Dow Jones อยู่ที่ 27976.84 เพิ่มขึ้น 289.93 (1.05%)
- S&P 500 อยู่ที่ 3380.35 เพิ่มขึ้น 46.66 (1.4%)
- Nasdaq อยู่ที่ 11012.24 เพิ่มขึ้น 229.42 (2.13%)
ยุโรป
- DAX อยู่ที่ 13058.63 เพิ่มขึ้น 111.74 (0.86%)
- FTSE 100 อยู่ที่ 6280.12 เพิ่มขึ้น 125.78 (2.04%)
- Euro Stoxx 50 อยู่ที่ 3363.18 เพิ่มขึ้น 31.06 (0.93%)
- FTSE MIB อยู่ที่ 20437.36 เพิ่มขึ้น 228.25 (1.13%)
เอเชีย
- Nikkei 225 อยู่ที่ 22843.96 เพิ่มขึ้น 93.72 (0.41%)
- S&P/ASX 200 อยู่ที่ 6132 ลดลง -6.7 (-0.11%)
- Shanghai อยู่ที่ 3319.27 ลดลง -21.02 (-0.63%)
- SZSE Component อยู่ที่ 13308.52 ลดลง -157.75 (-1.17%)
- China A50 อยู่ที่ 15245.61 ลดลง -16.35 (-0.11%)
- Hang Seng อยู่ที่ 25244.02 เพิ่มขึ้น 353.34 (1.42%)
- Taiwan Weighted อยู่ที่ 12670.35 ลดลง -109.84 (-0.86%)
- SET ปิดทำการ
- KOSPI อยู่ที่ 2432.35 เพิ่มขึ้น 13.68 (0.57%)
- IDX Composite อยู่ที่ 5233.45 เพิ่มขึ้น 43.29 (0.83%)
- BSE Sensex อยู่ที่ 38369.63 ลดลง -37.38 (-0.1%)
- PSEi Composite อยู่ที่ 5995 เพิ่มขึ้น 41.06 (0.69%)
Commodity
- ราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ที่ 42.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.94 (2.26%)
- ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อยู่ที่ 45.33 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.83 (1.87%)
- ราคาทองคำ อยู่ที่ 1,922.03 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 10.98 (0.58%)
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- Infoquest
- Bloomberg
- Investing
- CNBC
- Reuters