×

โรนัลโดบนเส้นทางทำลายสถิติ, ฝรั่งเศสเกรด A+, เยอรมนียังดีไม่พอ? – EURO 2020 ROUND UP Day 5

โดย THE STANDARD TEAM
16.06.2021
  • LOADING...
คริสเตียโน โรนัลโด

ค่ำคืนที่ 5 ในฟุตบอลยูโร 2020 แม้จะมีเกมการแข่งขันแค่ 2 คู่ในกลุ่ม F แต่ก็เป็นเกมระดับ A+ จากกลุ่มสุดโหดที่ได้รับการขนานนามว่า ‘Group of Death’ ซึ่งเกมทั้ง 2 คู่ก็สนุก มีสีสัน และจบลงด้วยคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่บูดาเปสต์ หรือมิวนิก และแน่นอนว่าถึงแม้ฟุตบอลจบลง แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้จบลงใน 90 นาทีเท่านั้น

 

และนี่คือบทสรุปจากเกมและเรื่องราวเมื่อคืนที่ผ่านมา

 

คริสเตียโน โรนัลโด ชายผู้ทำลายสถิติเป็นงานอดิเรก 

เสียงเชียร์ในปุสกัส อารีนาสงบลงและกลายเป็นเสียงโห่ใส่ คริสเตียโน โรนัลโด เมื่อเขาสังหารจุดโทษพร้อมทำหน้าตาน่าหมั่นไส้ และวิ่งไปดีใจท่าประจำที่มุมธงฝั่งขวาของสนาม ประตูนี้นอกจากจะช่วยให้โปรตุเกสทิ้งห่างฮังการีอย่างสบายออกไปเป็น 2-0 แล้ว ยังทำให้โรนัลโดก้าวข้ามตำนานอย่าง มิเชล พลาตินี ไปแบบเต็มตัว ในฐานะผู้ที่ทำประตูมากที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลอยูโรด้วย

 

แต่เท่านั้นอาจจะยังไม่พอสำหรับชายผู้จะกลายเป็นตำนานคนนี้ เพราะหลังจากลูกที่จุดโทษไม่กี่นาที โรนัลโดก็มาปิดบัญชีเกมนี้อย่างเด็ดขาด จากการพาบอลหลบ ปีเตอร์ กูลัคซี นายทวารของ ‘แม็กยาร์’ ไปยิงใส่ประตูโล่งๆ ต่อหน้าแฟนบอลกว่า 60,000 คน และช่วยให้โปรตุเกสคว้าชนะเกมแรกในการลงสนามศึกฟุตบอลยูโร 2020 ไปด้วยสกอร์ 3-0

 

สถิติการยิงประตูสูงสุดตลอดกาลในเวทีฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ถูกยืดออกไปเป็น 11 ประตู ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะหาใครมาทำลาย คนที่ใกล้เคียงที่สุดที่จะทำได้คือ อองตวน กรีซมันน์ แห่งฝรั่งเศส ที่ปัจจุบันยิงไปแล้ว 6 ประตูในฟุตบอลยูโร ยังห่างตัวเลขของ ‘CR7’ อยู่อีกถึง 5 ประตู และอย่าลืมว่าโรนัลโดยังมีโอกาสยืดสถิตินี้เพิ่มไปอีกอย่างน้อยสองนัดในรอบแบ่งกลุ่มที่ยังเหลืออยู่

 

“สิ่งสำคัญคือเราชนะ” โรนัลโดกล่าวโดยไม่สนสถิติที่เขาเพิ่งขึ้นไปครอบครอง “มันเป็นเกมที่ยากในการเล่นกับคู่แข่งที่ม่เกมรับที่ดีมากๆ แต่เราก็ยิงได้ถึง 3 ประตู และผมก็ดีใจที่สามารถช่วยทีมทำได้ถึง 2 ประตูในเกมนี้”

 

นอกจากสถิติที่เขาเพิ่งทำลายลงไปแล้ว ในเกมนี้โรนัลโดยังสร้างสถิติน่าเหลือเชื่อใหม่ๆ อีก 2 อย่างด้วยกัน คือการกลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ลงเล่นในฟุตบอลยูโรได้ถึง 5 สมัย ในปี 2004, 2008, 2012, 2016 และในครั้งนี้ ขณะที่อีกตัวเลขคือการกลายเป็นนักเตะที่ลงสนามมากที่สุดในทัวร์นาเมนต์เมเจอร์ระดับชาติ (ยูโรและฟุตบอลโลก) รวมกันถึง 39 เกม มากที่สุดในบรรดานักเตะชาวยุโรปทุกคนด้วย

 

ตัวเลขต่อไปที่น่าจะเป็นเป้าหมายของหัวหอกวัย 36 ปี คือตัวเลข 109 ซึ่งเป็นสถิติยิงประตูสูงสุดตลอดกาลให้กับทีมชาติ โดยเจ้าของสถิตินี้คือ อาลี ดาอี แห่งทีมชาติอิหร่าน โดยเมื่อบวก 2 ประตูในเกมเอาชนะฮังการีไปแล้ว โรนัลโดยิงประตูในนามทีมชาติไปแล้ว 106 ลูก ทำให้เขาต้องการอีก 3 ประตูเพื่อเทียบเท่า และ 4 ประตูเพื่อก้าวข้าม

 

ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นในฟุตบอลยูโร 2020 นี้เลยก็ได้…

 

 

ใครจะหยุดทีมชาติฝรั่งเศส? 

ไม่ใช่แค่ชัยชนะเหนือทีมที่มีคุณภาพอย่างเยอรมนีเท่านั้น แต่ฝรั่งเศสเดินเกมนี้ได้อย่างมีคุณภาพและน่าจะชนะมากกว่าแค่สกอร์เดียว หากไม่มีความผิดพลาดจากการยืนไลน์ล้ำหน้าเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง ทำให้ 2 ประตูในครึ่งหลังถูกเรียกกลับคืนไปทั้งหมด

 

ก่อนเกมนี้ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ หัวหน้าโค้ชของฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์ว่า ทีมของเขาจะไม่สนเรื่องการต่อเกมอย่างสวยงามหรือเล่นเกมรุก พวกเขาสนแต่ความจริงที่ว่าชัยชนะสำคัญที่สุด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อพวกเขาขึ้นนำจากการทำเข้าประตูตัวเองของ มัตส์ ฮุมเมิลส์ ทัพ ‘ตราไก่’ จะถอยลงไปเล่นเกมรับพร้อมรอโต้กลับ เพราะมันเป็นแผนที่พวกเขาวางไว้แล้ว แถมมันมีประสิทธิภาพมากด้วย ซึ่งการเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดแต่ไม่ยึดติดกับรูปแบบการเล่น ทำให้ ‘เลส์ เบลอส์’ น่ากลัวกว่าทีมใดๆ ในทัวร์นาเมนต์นี้

 

พอล ป็อกบา, คีเลียน เอ็มบัปเป้ และ เอ็นโกโล ก็องเต คือ 3 นักเตะที่เล่นได้โดดเด่นที่สุดในเกมนี้ โดยป็อกบายังคว้าตำแหน่ง Man of the Match ในเกมนี้ไปครองด้วย จากผลงานการออกบอลได้อย่างเฉียบขาด และประตูขึ้นนำของทีมก็ต้องให้เครดิตกับเขาในการออกบอลไปยัง ลูกัส แอร์กน็องเดซ ก่อนที่แบ็กขวาฝรั่งเศสจะผ่านบอลเข้ากลางไปโดนฮุมเมิลส์เข้าประตูตัวเองด้วย

 

ขณะที่เอ็มบัปเป้ก็เล่นได้โดดเด่นในเกมรุก เขามีความเร็วและมีทักษะในการยิงประตูที่ยอดเยียม ซึ่งแสดงให้เห็นจากการปั่นหัวเกมรับของ ‘อินทรีเหล็ก’ ได้ตลอดทั้งเกม และเกือบมีชื่อเป็นผู้ทำประตูถ้าไม่ล้ำหน้าไปเสียก่อน ส่วน ก็องเต ก็ยังไล่บอลได้อย่างยอดเยี่ยม และอยู่เกือบทุกที่ในสนามเวลาที่คู่แข่งครองบอลไม่ต่างจากที่เขาเป็นมาตลอดฤดูกาล

 

เกมนี้เยอรมนีครองบอลมากกว่าราว 62% ต่อ 38% ทำให้สถิติการลุ้นประตูมากกว่าตามไปด้วย แต่สถิติในเชิงคุณภาพเป็นฝรั่งเศสเหนือกว่าทั้งหมด ไล่ตั้งแต่การดวลกันตัวต่อตัวแล้วเอาชนะได้, การดวลแย่งบอลกลางอากาศ, การตัดบอล, การวางบอลยาว เป็นฝั่งฝรั่งเศสทำได้ดีกว่าทั้งหมด นั่นพอจะบอกได้ว่าพวกเขาเป็นทีมที่คุณภาพแค่ไหน และน่าคิดต่อไปว่าชาติใดจะหยุดฝรั่งเศสได้สำเร็จกัน?

 

 

เยอรมนี ภายใต้เครื่องหมายคำถาม 

ความพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศส ทำให้เยอรมนีต้องตกที่นั่งเดียวกับทีมฮังการี จากการไม่มีแต้มในนักแรก และงานต่อไปของพวกเขาก็ต้องเจอกับทีมชาติโปรตุเกส ซึ่งนำทัพโดยโดย คริสเตียโน โรนัลโด ที่กำลังไล่ล่าสถิติตลอดกาล ก่อนจะปิดท้ายรอบแบ่งกลุ่มด้วยการพบกับ ‘แม็กยาร์’ ซึ่งถ้าพวกเขายังหาฟอร์มที่ดีไม่เจอ นั่นอาจจะหมายการไม่มีชื่อของ ‘อินทรีเหล็ก’ ในรอบน็อกเอาต์ก็ได้

 

การแพ้ในบ้านที่มิวนิกต่อทีม ‘ตราไก่’ อาจจะเหมือนพวกเขาแพ้แค่ประตูเดียวในเกมทั้งที่พวกเขาได้บุกเป็นส่วนมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขา ‘ถูกปล่อย’ ให้เป็นฝ่ายบุกมากกว่า ฝรั่งเศสเลือกจะถอยลงมาต่ำหลังจากที่เดินหน้าบุกใส่ในช่วงแรก แต่หลังจากได้ประตูทีมของ ‘เดเด้’ ก็หยุดต่อเกมและเลือกเล่นจะรับแทน ซึ่งหลักฐานยืนยันว่าทั้งหมดเป็นแผนของทัพ ‘เลส์ เบลอส์’ คือการที่พวกเขาปล่อยให้เยอรมนีครองบอล แต่ไม่เปิดจังหวะให้จบสกอร์เลย ซึ่งทั้งเกมเกมเจ้าบ้านมีโอกาสยิงเข้ากรอบแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

 

นอกจากนี้ทีมเวิร์กที่เคยเป็นจุดแข็งของเยอรมนีมาตลอดก็เหมือนจะหายไป ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ ‘เลือดใหม่’ ทำให้ความเข้าใจและไว้ใจซึ่งกันและกันยังไม่มากพอ ซึ่งตรงนี้เวลาและประสบการณ์เท่านั้นที่จะช่วยพัฒนาไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดมาเองได้ในเร็ววัน ดังนั้นสิ่งที่ โยอาคิม เลิฟ ต้องทำในตอนนี้ คือพยายามให้ลูกทีมลืมเกมนี้ไปก่อน และวางแผนในการรับมือโปรตุเกสที่จะเจอในเกมหน้าให้ดีที่สุด

 

เพราะถ้าเกมเจอ ‘ฝอยทอง’ ยังแพ้อีก การเข้ารอบน็อกเอาต์ของทีม ‘อินทรีเหล็ก’ คงมีเสียวกันจนหยดสุดท้ายแน่ 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising