×

เรื่องสนุกราวนิทานของ Erb แบรนด์ที่สร้างความภูมิใจให้กับไทย

26.08.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • เรื่องราวแสนสนุกราวกับนิทาน กว่าจะกลายมาเป็น Erb แบรนด์สกินแคร์สูตรไทยโบราณ ที่ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่พัฒนาสูตรมาจากประสบการณ์วัยเด็กของ รี่-พัชทรี ภักดีบุตร อดีตดีไซเนอร์แบรนด์ Greyhound ผู้ผันตัวมาปลุกปั้นแบรนด์ Erb เป็นปีที่ 17 แล้ว
  • รู้จักกับผลิตภัณฑ์ Seven Pollen ที่ได้รางวัลจากประเทศอังกฤษ มีการปรับสูตรให้ดีขึ้น แพ็กเกจใหม่สดใสขึ้น และเป็นธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ และห้ามพลาดกับ 3 ไอเท็มโปรดที่เจ้าของแบรนด์แนะนำว่าเด็ด

     จากความหลงใหลเสน่ห์แบบไทยๆ ในวัยเด็กเกี่ยวกับ เจ้าจอมก๊กออ ในสมัยรัชกาลที่ 5 บวกกับนิสัยส่วนตัวที่สนใจใคร่รู้เกี่ยวกับต้นไม้ ใบไม้ และดอกไม้ที่เคยเล่นขายของประสาเด็ก ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความหลงใหลเหล่านั้นได้ย้อนกลับมาจุดประกายความคิดให้ รี่-พัชทรี ภักดีบุตร อดีตดีไซเนอร์แบรนด์ Greyhound ผันตัวมาสร้างสรรค์ปลุกปั้นแบรนด์ไทยชื่อ Erb ต่อเนื่องเป็นปีที่ 17 ซึ่งเธอได้เปิดใจกับ THE STANDARD ว่า Erb คือผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนความเป็นไทยแบบเนื้อแท้ และเป้าหมายสูงสุดสำหรับเธอคือการตั้งใจจะทำแบรนด์นี้ให้คนไทยภูมิใจให้จงได้

 

 

ที่มาของชื่อของ Erb

     ความหมายของ Erb มาจากคำว่า อิ่มเอิบ ให้นึกถึงเวลาเรามีความสุข เราจะรู้สึกอิ่มเอิบ มันออกมาจากข้างใน มันคือความสุขที่อิ่มเอิบใจ อีกความหมายก็มาจากคำว่า Herb ในภาษาอังกฤษที่ไม่ได้ออกเสียง H ซะทีเดียว ก็จะเป็น Erb เหมือนกัน ส่วนอีกความหมายก็มาจาก ‘ยายเอิบ’  ซึ่งเป็นชื่อที่เรารู้สึกว่ามาจากสาวไทยโบราณที่มีความรู้เรื่องของศาสตร์ไทยโบราณ พอได้ยินชื่อแล้วรู้สึกว่าอบอุ่น ทำให้คิดไปว่า ยายเอิบต้องรอบรู้ทุกเรื่อง และต้องมีเคล็ดลับความงามเยอะแน่เลย ก็เลยเป็น 3 ความหมายที่รวมเป็นชื่อแบรนด์ Erb ซึ่งลงตัวที่สุด

 

 

ยายเอิบมีตัวตนจริงไหม

     ยายเอิบเป็นชื่อที่รี่สมมติขึ้นมา ต้องเล่าย้อนว่าในวัยเด็กจะเคยฟังเรื่อง ‘เจ้าจอมก๊กออ’ ในรัชกาลที่ 5 แล้วชอบมากเลย เป็นเรื่องของพระสนมคนโปรดในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบด้วย เจ้าจอมอ่อน, เจ้าจอมเอี่ยม, เจ้าจอมเอิบ, เจ้าจอมอาบ และเจ้าจอมเอื้อน ซึ่งแต่ละนางสนมก็จะมีคาแรกเตอร์และเสน่ห์เฉพาะของตัวเอง เช่น เจ้าจอมเอี่ยมเก่งเรื่องนวดไทย นวดกายภาพ ส่วนเจ้าจอมเอิบก็มีหน้าที่จัดฉลองพระองค์ แถมยังเล่นกล้อง ถ่ายรูปเก่งด้วย โคตรเปรี้ยว พอฟังเรื่องเหล่านี้แล้วก็รู้สึกติดใจมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นความประทับใจว่าเจ้าจอมก๊กออนี่เปรี้ยวดีจังเลย แล้วหนึ่งในนั้นก็มีเจ้าจอมเอิบ เป็นชื่อที่ชอบมาตลอด พอเราคิดจะทำแบรนด์ที่สื่อถึงความเป็นไทย ชื่อ Erb ก็ผุดขึ้นมาเป็นชื่อแรกเลย

 

ฟังดูเป็นคนอินกับเสน่ห์แบบไทยตั้งแต่เด็ก

     ก็ไม่ได้คิดนะว่าตัวเองจะอินกับเรื่องราวในสมัยก่อนขนาดนั้น แต่กลายเป็นว่ามันดันอิน (หัวเราะ) คือหมายความว่าเราไม่ชอบเรียนประวัติศาสตร์ แต่มันดันเป็นธรรมชาติของเราเอง ที่ชอบซึมซับเรื่องที่เราสนใจแบบไม่รู้ตัว มันเลยกลายเป็นว่า เออ ฉันปลาบปลื้มในความเป็นไทย ฉันมีความเชื่อและหลงรักในศาสตร์ไทยหรอกหรือนี่

“ถ้าคุณมีของ คุณต้องทำให้โลกหมุน คุณอย่านอนอยู่บ้านเฉยๆ ถ้าคนที่มีของอยู่เฉยๆ กันหมด ไม่คิดทำอะไรสักอย่าง แล้วโลกใบนี้มันจะสวยงามได้ยังไง”

 

แบรนด์ Erb เริ่มต้นอย่างไร

     จุดเริ่มต้นของ Erb เกิดจากว่า สมัยก่อนรี่เป็นดีไซเนอร์อยู่ Greyhound ดีไซน์เสื้อผ้าผู้หญิง ช่วงนั้นก็บินไปต่างประเทศบ่อย เพราะต้องดีลงานเอเจนต์ ต้องซื้อผ้าอะไรต่างๆ แล้วก็ไปเที่ยวด้วย เราก็เห็นว่า Beauty Healthy หรือว่าศาสตร์แนวๆ power of nature พวกนี้เป็นอะไรที่ฮิตมากที่ยุโรป ซึ่งโอเคว่ามันมีอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่มันก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ตัวรี่เองก็ชอบใช้ด้วย แล้วส่วนตัวเราไม่ชอบใช้กลิ่นอะไรที่มันดูสังเคราะห์ ตั้งแต่เด็กจนโต ก็จะเป็นคนเลือกเฉพาะกลิ่นที่ถูกจริต เราชอบกลิ่นที่ใช้แล้วสามารถนึกถึงว่าตัวเองไปเป็นดอกอันนั้น พุ่มอันนี้ มันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ถึงจะเป็นกลิ่นที่ชอบ ถ้าฉีดแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับความคิดก็จะไม่เลือกเลย เวลาเราดมกลิ่นที่มันประดิษฐ์ เรามักจะนึกภาพไม่ออกว่ามันมาจากไหน มันก็แค่หอม แล้วยังไงต่อ คือมันไม่มีจินตนาการน่ะ พูดตรงๆ กลิ่นที่เราชอบจึงหมายถึงกลิ่นที่มันย้ำเตือนความทรงจำวัยเด็กของเราได้ทุกครั้ง

     แล้วจากการเดินทาง การได้ใช้สกินแคร์ของนานาชาติ พอเอามาดูส่วนผสมดีๆ เราพบว่ามันเป็นแบรนด์ของเมืองนอกก็จริง แต่ส่วนผสมต่างๆ มันมาจากแถวบ้านเรา มันมีมะนาว กระดังงา อะไรทำนองนี้ เราก็ อ้าว นี่มันผลไม้ ดอกไม้บ้านเรานี่หว่า เลยรู้สึกว่าทำไมฉันไม่ทำบ้างล่ะ พอกลับมาก็เริ่มรีเสิร์ชหาข้อมูลทั้งๆ ที่เป็นดีไซเนอร์อยู่นะ ก็เลยลองทำแบรนด์ตัวเองขึ้นมา จนเป็นแบรนด์ Erb

 



ส่วนผสมแรกที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ของ Erb

     รี่เลือกใช้ดอกมะลิ เพราะเราเกิดมาเป็นคนไทย เราคุ้นเคยกับมะลิ พอไปศึกษาข้อมูลก็พบว่ามันดีต่อผิว และกลิ่นมันก็ดีต่อระบบประสาท พอได้กลิ่นแล้วช่วยให้สงบ ผ่อนคลาย เราก็เก็ตเลยว่า อ๋อ ทำไมรุ่นย่ายายของเราถึงร้อยดอกมะลิมาถือเป็นมาลัยไหว้พระ เพราะว่ามันไป calm your nerve กลิ่นของมะลิจะทำให้สงบได้โดยอัตโนมัติเลย แล้วเราทึ่งในกุศโลบายของคนไทยสมัยก่อนว่าเขารู้ได้ยังไง มันอะเมซิง ยิ่งศึกษาไปเรื่อยๆ ยิ่งเหมือนอ่านนิทาน พูดตรงๆ คือทำแบรนด์ Erb เนี่ย เหมือนอ่านนิทานไปเรื่อยๆ ค้นไปเรื่อยๆ อย่างเรื่องที่เราค้นเจอว่าแต่ก่อนที่มันยังไม่มีน้ำแข็ง แต่คนสมัยก่อนก็มีวิธีที่ทำให้ความรู้สึกของคนเย็นลงได้ด้วยกลิ่นหอมจากดอกมะลิ เวลาเราเอาไปลอยในน้ำก็รู้สึกว่าดื่มแล้วเย็น อย่างข้าวแช่ สมัยก่อนเขาไม่มีน้ำแข็งนะ แต่แค่ใส่ดอกมะลิลงไปก็รู้สึกว่าเย็น มันเลยเป็นเหมือนนิทานสำหรับเรา มันมีที่มาที่ไป ทำให้เรารู้สึกสนุกในการคิดค้นสูตรต่างๆ ก็มีการหยอดกลิ่นมินต์ลงไปให้มันสดชื่นขึ้น กลายเป็นกลิ่นมะลิมินต์ของ Erb ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

คอลเล็กชันล็อตแรกของ Erb มีอะไรบ้าง

     เปิดแบรนด์ตอนแรก ขอใช้คำว่าว่าคลั่งมาก แรงเยอะ ตอนนั้นคิดว่าการจะออกผลิตภัณฑ์ในไทยแรกๆ เนี่ย คนไทยจะยังไม่ยอมรับเรา ก็เลยไปออกงานบิ๊ก (BIG+BIH) ซึ่งเป็นงานที่เจ๋งมากเลยในสมัยก่อน งานโคตรเก๋ สู้เมืองนอกได้เลย หากใครจำได้ งานบิ๊กจะเป็นงานขายของแต่งบ้านที่รวมดีไซเนอร์ไทยเยอะมาก แต่ก่อนนะ เปรี้ยวทุกคนเลย พี่ด้วง (ดวงฤทธิ์ บุนนาค) ก็ยังมาน่ะคิดดู ตอนนั้นพี่ด้วงทำเฟอร์นิเจอร์ก็เอามาออกงานแฟร์ รี่ก็คิดว่ามางานนี้เผื่อจะได้ออร์เดอร์จากเมืองนอก เรารู้สึกว่าถ้าคนต่างชาติใช้แล้วชอบ คนไทยก็อาจจะยอมเชื่อว่าของเราดีจริง อย่างที่บอกว่าพลังเยอะ ก็ผลิตออกมาก็มีเกือบทุกอย่างเลย มีครีมทาผิว ครีมอาบน้ำ แชมพู ครีมนวด ฟุตเธอราปี แฮนด์เธอราปี ครีมหมักผม มีเทียน มีธูป มีชา มีกาน้ำชา มีที่ใส่ธูป ใส่เทียน มีเยอะมาก นับไม่ไหว แล้วโชคดีว่าไปออกงานครั้งแรกก็ได้ออร์เดอร์เพียบ

 

 

เปิดตัวครั้งแรกก็ออร์เดอร์เพียบ

     ใช่ๆ ตอนนั้นมีแคนาดามาออร์เดอร์ครีมอาบน้ำไปทั้งหมด แล้วก็มี Habitat มาออร์เดอร์ธูปของเรา ตอนนั้นเราทำเป็นธูปยักษ์ ธูปตั้งแบบเอาต์ดอร์ แล้วจำได้เลย Habitat สั่งธูปเรา 5,000 แพ็กโอ้โห ผลิตกันไม่ทัน ส่งได้แค่ประมาณ 4,000 แพ็ก แล้วก็มีไต้หวันมาออร์เดอร์กาน้ำชากับชา 6,000 ชุด แต่ส่งไม่ไหว โรงงานทำไม่ทัน ทำได้แค่ 3,000 ชุด แล้วก็เทียนที่เราทำเป็นชุดมี 10 อัน 10 กลิ่น ทำเป็นชิ้นเล็กๆ รวมแพ็ก ก็มีคนมาสั่ง 10,000 แพ็ก แปลว่าต้องทำ 100,000 อัน ก็ส่งไม่ได้อีก ทำไม่ไหว แต่มันก็ปลุกกำลังใจให้เรานะ ถือว่าเปิดตัวครั้งแรกแล้วเราได้ออร์เดอร์จากต่างชาติ มันก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้มากเลย ความรู้สึกตอนนั้นคือ โอ้โห นี่เราทำเรื่องแต่งบ้านก็ได้ ทำเซรามิกก็ได้ ทำเรื่องของสกินแคร์ก็ได้ รี่ก็รู้สึกว่า ‘กูรอดแล้ว’

 

เห็นบอกว่าตอนนั้นยังเป็นดีไซเนอร์อยู่ด้วย

     ตอนนั้นยังหุ้น Greyhound อยู่นะ แต่พอทำแบรนด์ Erb มันก็เป็นความสนุกแล้ว ทำให้เราได้รู้ว่าการทำสกินแคร์มันก็คือความดัดจริตอีกแบบหนึ่ง เทียบกับเรื่องเสื้อผ้า สมมติวันนี้คุณแต่งตัวไม่สวย พรุ่งนี้คุณเปลี่ยนใหม่ได้ นึกออกไหม แต่พอเป็นสกินแคร์ เขาต้องทนใช้ไปสัก 3 หรือ 4 วัน ถึงจะรู้ว่ามันดี มันจึงมีเสน่ห์ที่ต่างกันอยู่ เลยมองว่าเป็นงานอาร์ต พอมองเป็นงานอาร์ต ทุกอย่างมันเลยสนุก ยิ่งพอเราได้ทดลองก็ยิ่งสนุก

“รี่จะเป็นคนแบบว่า ‘ถ้าฉันไม่อิน ฉันก็ไม่ทำ’

หัวใจของรี่จะไม่ยอมแก่ Erb ก็จะเป็นแบรนด์ที่ไม่มีวันแก่เช่นกัน”

 

ผ่านมา 17 ปี อะไรคือจุดเปลี่ยนของ Erb

     Erb เป็นแบรนด์ที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยนะ ตอนหลังเนี่ย เราก็เห็นเยอะว่ามันมีแบรนด์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงบ่อย แต่ก็ยังเป็นแบรนด์ที่อยู่ได้ รี่รู้สึกว่ารี่ก็คือหนึ่งในแบรนด์นั้น Erb จะทำอะไรขึ้นมาก็ได้ ไม่ผิด เพราะนี่เป็นแบรนด์ที่มีอิสระ ถ้าให้คำจำกัดความนะ Erb มันมีความรื่นรมย์ มองก็สวย ใช้ก็หอม ทาก็นุ่ม ประโยชน์ในตอนจบก็ได้ ผลลัพธ์ดีในแบบที่เราอยากได้ เราไม่มีทางรู้เลยว่า Erb จะคิดทำอะไรต่อไป ทุกอย่างมันมีจังหวะเกิดขึ้นของมัน มีอิสระมากพอที่จะทำอะไรก็ได้แบบที่เราอยากทำ

 

 

เช่นการ collaborate กับคนดัง

     เราเป็นคนที่อยู่ในวงการแฟชั่นอยู่แล้ว เวลารี่ชวนใครสักคนมาทำอะไรร่วมกัน รี่พูดตรงๆ ว่าส่วนตัวรี่เป็นคนที่รักน้องพวกนี้ รี่รักคนที่ทำให้โลกหมุน เราเป็นคนที่คิดบวกมากนะ คนเราเมื่อได้เกิดมาชาติหนึ่ง ถ้าคุณมีของ คุณต้องทำให้โลกหมุน คุณอย่านอนอยู่บ้านเฉยๆ ถ้าคนที่มีของอยู่เฉยๆ กันหมด ไม่คิดทำอะไรสักอย่าง แล้วโลกใบนี้มันจะสวยงามได้ยังไง มันก็จะหมุนไปเพราะความโลภ กลายเป็นว่าการไม่ทำอะไรมันคือการเปิดโอกาสให้คนอยากได้ อยากมีมาเปลี่ยนโลกนี้ไป แต่ถ้ามันมีคนที่รักศิลปะมามีส่วนช่วยทำให้โลกหมุนด้วยความรักและความชอบของตัวเขา นั่นแหละ รี่ชอบคนแบบนั้น แล้วรี่จะปลื้มมากกับน้องๆ ที่มีความสามารถเหล่านี้ แล้วรี่ก็จะเอ็นดูเขามาก อย่าง Boyy Bag, Issue, Sretsis หรือน้องมะม่วง ของ ตั้ม-วิศุทธิ์ พรนิมิตร แล้วตั้มนี่คือน้องชายแท้ๆ ของรี่เลยนะ

 

แล้วความสำเร็จของ Erb วัดจากอะไร

     วัดจากพัฒนาการที่เรามีให้กับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ความสุขที่มีมากขึ้น อย่างตอนนี้ที่เรามีความสุขกับผลิตภัณฑ์ที่ขายดี เช่น เจลล้างหน้า Erb บอกเลยว่าโลกนี้มีน้อยแบรนด์มากที่ทำสกินแคร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่มาจากธรรมชาติได้ เราภูมิใจที่เราทำสิ่งนี้ออกมาได้ เราอยากทำเจลล้างหน้า แต่มีคนค้านว่ามันไม่มีหรอก เจลที่เกิดขึ้นโดยไม่ใช่สารเคมี เรายืนยันว่าต้องมีสิ แล้วนึกขึ้นได้ว่าตอนเด็กๆ เคยเล่นขายราดหน้า รี่ถามแม่ว่าอยากให้ราดหน้าของรี่มันเป็นน้ำเหนียวๆ ต้องทำยังไง แม่บอกว่าไปเอาใบชบามาขยี้กับน้ำดูสิ แล้วมันจะได้น้ำเหนียวๆ เป็นน้ำราดหน้า เราก็เอาไอเดียจากวัยเด็กนี่แหละไปบอกนักวิทยาศาสตร์ของเราว่าลองใช้ใบชบาดูไหม ทุกวันนี้เจลล้างหน้าของ Erb ทำมาจากใบชบา ผลิตภัณฑ์ของรี่มันมาจากประสบการณ์วัยเด็กเป็นส่วนใหญ่

พออายุ 40 เงินก็มีแล้ว เครดิตก็มีแล้ว แต่ไฟจะมีไม่เท่าตอนอายุ 20 แล้วนะ ทุกช่วงชีวิตเลยกลายเป็นเหมือนภาพศิลปะที่ต่างกัน แต่อยู่บนผืนเดียวกัน แล้วพออายุ 50 ปุ๊บนะ ทุกวันนี้ไม่กลัวอะไรเลย แต่ละวัยความสุขมันต่างกันจริงๆ”

 

จุดเด่นของ Erb

     รี่คิดว่าจุดเด่นที่ทำให้แบรนด์แตกต่างคือเราใช้จริง เราอินกับมันจริงๆ เวลาจะทำผลิตภัณฑ์อะไรออกมา รี่ไม่ได้ตามกระแส เช่น แอปเปิ้ลฮิตเว้ย ไปทำแอปเปิ้ลบ้างดีกว่า รี่จะเป็นคนแบบว่า ‘ถ้าฉันไม่อิน ฉันก็ไม่ทำ’ แล้วก็เป็นคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองจริงๆ เราเอาความเชื่อของคนไทยมาใส่ในผลิตภัณฑ์ รี่เป็นคนกลางที่หยิบเอาสิ่งที่โบราณมีอยู่แล้วมาปรับปรุงให้ดีขึ้น และทำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เรารักต้นไม้ไทย รักสมุนไพรไทย เราได้เห็นประโยชน์ของมันจากที่เราได้ศึกษาและคุ้นเคยจากสิ่งที่เราเล่นในวัยเด็ก นี่คือสิ่งที่แตกต่าง และแบรนด์ Erb เองก็สะท้อนตัวตนของรี่ หัวใจของรี่จะไม่ยอมแก่ Erb ก็จะเป็นแบรนด์ที่ไม่มีวันแก่เช่นกัน แล้วเวลาที่เราได้พบกับคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของเราและชอบจากใจจริงๆ นั่นคือสิ่งที่ทำให้รี่ปลาบปลื้มและมีความสุขมาก

 

เรื่องที่ภูมิใจตอนนี้

     ภูมิใจหลายอย่างนะคะ รู้สึกว่าผลิตภัณฑ์ของเราจะมีส่วนในการช่วยย้อนความทรงจำเก่าๆ ที่สวยงามของใครหลายๆ คนเหมือนกัน เหมือนที่รี่รู้สึกทุกครั้งเวลาได้กลิ่นหอมที่มันพากลับไปสู่ช่วงเวลาดีๆ ในแต่ละช่วงชีวิตของเรา อีกหนึ่งความภูมิใจคือกลุ่มผลิตภัณฑ์ Seven Pollen เราทำตัวนี้มาหลายปีแล้วล่ะ แล้วเราได้รางวัลที่อังกฤษด้วย เราเอามาปรับสูตรใหม่ให้เข้มข้นขึ้น และเปลี่ยนแพ็กเกจใหม่ให้สดใสขึ้น ตอนนี้มันเป็นตัวที่ Erb ขายดีมาก และมาจากธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกคนใช้แล้วก็ให้ฟีดแบ็กที่ดีมาก อีกตัวเด่นๆ ที่ภูมิใจคือมาสก์สดๆ สูตรเฉพาะของ Erb มันจะประกอบด้วยผงเกสรเจ็ดกับผงโยเกิร์ตเป็นตลับ และมีน้ำผึ้งอีกขวดหนึ่ง เวลาจะใช้ก็ต้องผสมวัตถุดิบสดๆ ของ 3 สิ่งนี้เข้าด้วยกัน เพราะมันมาจากธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกัน น้ำผึ้งจะช่วยดีท็อกซ์ผิวไปในตัว มันจะเยียวยาผิวให้นุ่มชุ่มชื้น พอจะล้างก็สครับออก มีคนชอบตัวนี้เยอะมาก มันมาจากสูตรไทยจริงๆ แล้วผงเกสรเจ็ดเนี่ย อ้างอิงจากโบราณก็จะเป็นสิ่งที่นางในสมัยก่อนนิยมใช้ประทินผิว ถ้าเอามาพอกหน้า หน้าก็จะเต่งตึง เอามาทาตัว ตัวก็จะนุ่ม เอาไปชงชาก็เป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ ถ้าเป็นลม ดมก็ฟื้น อะไรอย่างนี้

 

 

ชีวิตที่ผ่านอะไรมาเยอะแบบนี้ ชอบตัวเองตอนไหนมากที่สุด

     เรื่องนี้พูดได้ทั้งวัน ตอนเด็กคุณทำอะไร คุณก็จะไม่กลัว เห็นผีเสื้อก็ตื่นเต้น เพราะฉะนั้นแต่ละช่วงมันจะมีความสุขในแบบฉบับของมัน อย่างช่วงอายุ 20 เป็นวัยที่เงินก็ไม่มี เพิ่งเรียนจบมา ทำอะไรดีวะ แต่ไฟแรงมากนะ ทุกคนต้องเชื่อ อยากให้ทุกคนเชื่อ อยากจะตะโกนบอกให้คนบนโลกนี้ฟัง แต่เพราะตอนนั้นยังเด็กอยู่ เป็นเด็กอายุ 20 พูดอะไรไปยังไม่มีคนเชื่อ เราก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง พอพิสูจน์ตัวเองได้ ผู้ใหญ่ชอบ ก็ปลื้มใจ

     พออายุ 30 เริ่มมีเครดิต มีความสามารถ มีผลงาน เริ่มรู้แนวทางของตัวเอง แต่เงินก็ยังไม่พอที่จะทำอะไรที่ตัวเองชอบ เป็นช่วงวัยที่จะไปซ่าๆ เปรี้ยวๆ แบบตอนอายุ 20 ก็ไม่ได้ เราคิดว่าวัย 30 เป็นวัยที่เรากลมกล่อมพอ เรารู้ทุกอย่าง มองขาดเลยนะ แต่ยังไปไหนไม่ได้ เพราะยังไม่มีเงิน

     พออายุ 40 เงินก็มีแล้ว เครดิตก็มีแล้ว แต่ไฟจะมีไม่เท่าตอนอายุ 20 แล้วนะ ทุกช่วงชีวิตเลยกลายเป็นเหมือนภาพศิลปะที่ต่างกัน แต่อยู่บนผืนเดียวกัน แล้วพออายุ 50 ปุ๊บนะ ทุกวันนี้ไม่กลัวอะไรเลย แต่ละวัยความสุขมันต่างกันจริงๆ

 

ถ้าเปรียบแบรนด์ Erb เป็นการเดินทาง จุดหมายปลายทางของ Erb คืออะไร

     ตั้งแต่วันที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต รี่ก็เกิดคำถามกับตัวเอง ฉันจะทำอะไรให้กับประเทศนี้ในแบบของฉันได้บ้าง เหมือนที่พระองค์ท่านทรงทำมาตลอด รี่ซึ่งเป็นคนตัวเล็กๆ คนนี้ก็เลยบอกตัวเองว่าฉันจะต้องทำให้ Erb เป็นแบรนด์ที่คนไทยภูมิใจให้ได้

FYI

     เรื่อง เจ้าจอมก๊กออ หรือ เจ้าจอมพงศ์ออ ทั้ง 5 คนเป็นธิดาของเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค) เจ้าเมืองเพชรบุรี กับท่านผู้หญิงอู่ สุรพันธ์พิสุทธิ์ (สกุลเดิม วงศาโรจน์) มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด 14 คน และพี่น้องร่วมบิดารวม 62 คน โดยมีสตรีเข้าถวายตัวเป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 7 คน ซึ่งเป็นเจ้าจอมก๊กออ 5 คน ได้แก่
     1. เจ้าจอมมารดาอ่อน (19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2410 – 29 มกราคม พ.ศ. 2512)

     2. เจ้าจอมเอี่ยม (12 พฤษภาคม พ.ศ. 2416 – 22 มีนาคม พ.ศ. 2495)

     3. เจ้าจอมเอิบ (22 เมษายน พ.ศ. 2422 – 11 สิงหาคม พ.ศ. 2487)

     4. เจ้าจอมอาบ (20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2424 – 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2504)

     5. เจ้าจอมเอื้อน (พ.ศ. 2430 – พ.ศ. 2470)

 

     ไอเท็มโปรดที่คุณรี่แนะนำ มีดังนี้

     1. Erb Seven Pollen Serum เหมาะกับผิวคนไทย มีส่วนผสมของน้ำทับทิม ช่วยให้ผิวกระจ่างใส โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ กับผิวในระยะยาว เป็นตัวที่ภูมิใจ เพราะได้รางวัล Top 3 Best Face Serum from Natural Health Magazine จากประเทศอังกฤษด้วย

     2. Erb Body Serum กลิ่นกุหลาบ มันดีตรงที่พอใช้แล้วผิวนุ่มจริงๆ ถ้าวันไหนอยากนุ่มมากกว่านั้นให้ผสมออยล์เข้าไป ผิวจะนุ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด บอกตรงๆ ว่าเป็นคนบ้างาน ทำงานทั้งวัน บางทีลืมดื่มน้ำ ทาเซรั่มผิวตัวนี้เข้าไปผิวก็ยังชุ่มชื้น ไม่แห้ง

     3. Erb Eastern Treat Shower & Bath Cream มะลิเป็นกลิ่นที่อยู่กับรี่มาตั้งแต่เปิดแบรนด์ Erb ครั้งแรก แล้สมันก็ยังเป็น best seller มาตลอด เวลาอาบน้ำจะรู้สึกดีกับกลิ่นหอมเหล่านี้

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising