อินโนเวสท์ เอกซ์ เผยเดือนสิงหาคมนี้มี 2 คดีใหญ่การเมืองที่ต้องจับตา ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดยุบพรรคก้าวไกล และแถลงอ่านคำวินิจฉัยคดียื่นถอดถอน เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบกดดันภาพการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ปลายปีมีลุ้นพลิกฟื้น หากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) หั่นดอกเบี้ย, เศรษฐกิจจีนฟื้นตัว และอานิสงส์ดิจิทัลวอลเล็ตปลุกชีพกำลังซื้อคนไทย
เอกภาวิน สุนทราภิชาติ นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ภาพของตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีทิศทางการปรับตัวลงและทำจุดต่ำสุดใหม่มาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยบวกที่สนับสนุนและมีความต่อเนื่องในไทยยังมีไม่มากนัก
ขณะที่ภาพการเติบโตของเศรษฐกิจของไทยยังมีอัตราการเติบโตในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับการขยายตัวของประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงทิศทางกระแสเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังขาดความต่อเนื่อง
จับตา 2 คดีใหญ่การเมือง ป่วนหุ้นไทย
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยกดดันจากประเด็นการเมืองในประเทศ โดยในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล และในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดแถลงอ่านคำวินิจฉัยคดียื่นถอดถอนเศรษฐา ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่ยังคอยกดดันภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ดี ภาพการลงทุนของตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะเห็นการเปลี่ยนแนวโน้มในช่วงปลายปีนี้ จากทิศทางขาลงไปสู่ขาขึ้นจากทิศทางดอกเบี้ยที่มีโอกาสเป็นขาลง โดยตลาดคาดว่าการประชุมของ Fed ในวันที่ 30-31 กรกฎาคมนี้ จะมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม แต่ในช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยได้จำนวน 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ คาดว่าจะยังเห็นภาพการผันผวนของตลาดหุ้นไทยได้บ้าง เพราะยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทั้งปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีนี้จะมีปัจจัยบวกจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่เริ่มมีเม็ดเงินทยอยออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ
ลุ้นหุ้นไทยเปลี่ยนทิศสู่ขาขึ้น?
เอกภาวินประเมินว่า อีกปัจจัยบวกที่คาดว่าจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยคือภาพรวมทิศทางของเศรษฐกิจจีนที่มีโอกาสฟื้นตัวขึ้น โดยปัจจัยทั้งหมดน่าจะหนุนให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้ามีโอกาสเติบโตได้ดีขึ้น ส่งผลให้ Fund Flow จะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย
ดังนั้นจึงมีมุมมองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ต่ำกว่า 1,300 จุด เป็นโอกาสซื้อเข้าสะสมเพื่อรอรับการฟื้นตัว ซึ่งมีโอกาสที่จะเห็นในช่วงปลายปีนี้ โดยให้เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยไว้ที่ระดับ 1,400 จุด และคาดว่ามีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้นในปี 2568
แนะใช้จังหวะย่อทยอยซื้อ
สำหรับคำแนะนำการลงทุนในการเทรดดิ้ง แนะนำให้เก็งกำไรซื้อขายในระยะสั้น เพราะในเดือนสิงหาคมนี้ยังต้องติดตามภาพของการเมืองภายในประเทศที่มีคดีความสำคัญถึง 2 คดี ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
ส่วนคำแนะนำสำหรับนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว แนะนำให้ใช้โอกาสในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงเป็นจังหวะในการเข้าทยอยซื้อ
ขณะที่กลุ่มนักลงทุนที่ขาดทุนหลังจากซื้อหุ้นในระดับราคาที่สูงก่อนหน้านี้ มองว่าหากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมา แนะนำให้สามารถช่วยได้ที่ระดับดัชนี 1,270 จุด หรือ 1,220 จุด เพื่อรองรับโอกาสในช่วงปลายปีนี้ที่ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเปลี่ยนแนวโน้มไปสู่ทิศทางขาขึ้น
สำหรับหุ้นที่แนะนำให้เทรดดิ้งระยะสั้นได้ แนะนำหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น GULF และ INTUCH ที่มีประเด็นข่าวบวกจากการควบคุมกิจการ รวมถึงหุ้นที่คาดว่าจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/67 ออกมาดี เช่น MINT จากปัจจัยสนับสนุนที่เป็นช่วงไฮซีซันของฤดูกาลท่องเที่ยวในยุโรปมาช่วยสนับสนุนภาพผลการดำเนินงานในกลุ่มธุรกิจโรงแรม
นอกจากนี้ ภาพการลงทุนในระยะยาวยังจะได้รับปัจจัยบวกจากเม็ดเงินของกองทุน ThaiESG ที่จะเข้ามาลงทุน ให้เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เช่น AOT, ADVANC รวมทั้ง CPALL ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต