บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA เปิดเผยข้อมูลหลังการสอบถามของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับภาระหนี้ผลกระทบฐานะทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากภาระหนี้สิน โดยเฉพาะเงินกู้และหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระภายในปี 2567 และแนวทางที่ชัดเจนในการชำระหนี้ดังกล่าว รวมทั้งผลกระทบต่อการบริหารจัดการกิจการของบริษัท สืบเนื่องจากการพ้นจากตำแหน่งของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จากกรณีการกล่าวโทษโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
EA ระบุว่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 บริษัทมีหนี้สินเงินต้นที่จะครบกำหนดชำระภายในปี 2567 จำนวน 19,505 ล้านบาท โดยได้จ่ายชำระในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา 3,017 ล้านบาท มียอดคงเหลือ 16,488 ล้านบาท
โดยหนี้คงเหลือแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่
- เงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงินและตั๋วแลกเงินระยะสั้น คงเหลือ 8,144 ล้านบาท
- เงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงินที่ถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปี คงเหลือ 2,852 ล้านบาท โดยยอดรวมดอกเบี้ยแล้วเท่ากับ 3,200 ล้านบาท
- หุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปี 5,492 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากรวมหนี้หุ้นกู้ทั้งหมดในปัจจุบันมีจำนวนรวม 31,166 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยครบกำหนดชำระตั้งแต่ปี 2568-2576
สำหรับแนวทางการใช้คืนหนี้ดังกล่าว จากเดิมบริษัทมีความตั้งใจที่จะ Rollover เงินกู้ระยะสั้นตามที่เคยปฏิบัติมาสำหรับเงินกู้ระยะสั้นทั้งหมด และมีแผนที่จะชำระเงินกู้และหุ้นกู้ระยะยาวที่จะครบกำหนดในปี 2567 โดยมีแหล่งที่มาของเงินจาก 3 ส่วน ได้แก่
- กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน โดยไตรมาส 1/67 บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินกิจการ 1,900 ล้านบาท และบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานลมทุกเดือนประมาณ 1,000 ล้านบาท
- วงเงินกู้จากสถาบันการเงินวงเงินประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาขั้นสุดท้ายของสถาบันการเงิน
- หุ้นกู้ที่จะออกเพิ่มเติมในปี 2567 จำนวนและวันเสนอขายอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้รับประกันการจัดจำหน่าย โดยบริษัทคาดว่าจะเป็นหุ้นกู้อายุ 1 ปี และ 3 ปี
วันที่ 15 กรกฎาคม เวลา 16.15 น. บริษัทได้รับการแจ้งข้อมูลจาก TRIS Rating ว่าบริษัทได้ถูกปรับลดระดับความน่าเชื่อถือจาก BBB+ (Negative) เป็น BB+ (Negative) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อวงเงินกู้จากสถาบันการเงิน และหุ้นกู้ใหม่ที่จะออกตามแผนเดิม
อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีรายได้จากโรงไฟฟ้าประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเป็นกระแสเงินสดหลักให้กับบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาและพิจารณาคัดเลือก Strategic Partner(s) เข้ามาร่วมลงทุน สร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน เพิ่มศักยภาพในการชำระหนี้และพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ส่วนผลกระทบจากกรณี สมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ อมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวนั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากคณะผู้บริหารและทีมงานที่บริหารจัดการยังคงเป็นชุดเดิม
ทั้งนี้ บริษัทได้แต่งตั้ง สมใจนึก เองตระกูล เข้าดำรงตำแหน่งรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์และเป็นที่น่าเชื่อถือ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัท รวมถึงกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ เพื่อนำบริษัทก้าวผ่านวิกฤตได้
เช่นเดียวกับ วสุ กลมเกลี้ยง ในฐานะรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (CFO) เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านการเงิน การลงทุน และเป็นอดีตผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ มีประสบการณ์เกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทเป็นอย่างดี มีประสบการณ์ในสายงานนี้มามากกว่า 10 ปี และหากบริษัทมีความคืบหน้าเรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว จะแจ้งให้ทราบต่อไป