น้ำหอมระดับตำนานของ Dior อย่าง ‘J’adore’ สร้างตำนานบทใหม่อีกครั้ง ผ่านนิทรรศการ ‘Dior J’adore’ จากดอกไม้สู่ขวดน้ำหอม พาทุกคนดำดิ่งไปยังห้วงเวลาประวัติศาสตร์ของ ‘J’adore’ นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในปี 1997 สัมผัสถึงความหลงใหลในดอกไม้ของ ‘Christian Dior’ ไปจนถึงการสานต่อแก่นแท้ที่เป็นเอกลักษณ์ของกลิ่นที่สื่อถึงพลังของผู้หญิงและความหรูหรา ผ่านมุมมองของ Francis Kurkdjian ถ่ายทอดออกมาเป็น ‘L’Or de J’adore’ พร้อมด้วยผลงานศิลปะชิ้นเอกของศิลปินอย่าง Refik Anadol ที่เชื่อมโยงและได้แรงบันดาลใจมาจาก ‘J’adore’
Beaux-Arts de Paris สถานที่อันทรงเกียรติ ถูกเลือกให้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการ ‘Dior J’adore’ พาทุกคนเดินทางสู่ประวัติศาสตร์ของน้ำหอมที่ถูกจารึกว่าได้รับการชื่นชมมากที่สุด ตั้งแต่ก้าวแรกที่คุณเดินเข้าสู่ตัวอาคาร Beaux-Arts de Paris บนถนน Quai Malaquais เปรียบเสมือนการเดินทางเข้าไปยังจิตวิญญาณชั้นยอดของดีไซเนอร์ระดับกูตูร์ Christian Dior ผู้ตกหลุมรักในความงดงามของดอกไม้อย่างแท้จริง
สีทอง สีที่เป็นตัวแทนของความหรูหรา ถูกใช้เป็นสีหลักในการตกแต่งนิทรรศการ ตั้งแต่ทางเดินไปจนถึงองค์ประกอบต่างๆ ภายในนิทรรศการ ทางเดินที่ประดับด้วยสีทองเป็นประกาย เปรียบได้กับสร้อยคอที่โอบล้อมขวดน้ำหอมไว้
“After women, flowers are the most lovely thing God has given the world.” “นอกจากผู้หญิงแล้ว ดอกไม้คือสิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดที่พระเจ้ามอบให้กับโลกใบนี้” นี่คือคำกล่าวของ Christian Dior ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเอ่ยถึงในนิทรรศการ สะท้อนให้เห็นถึงความหลงใหลในดอกไม้ แน่นอนว่าคุณจะได้เห็นสวนแห่งความลับและความทรงจำวัยเยาว์ที่ วิลล่า เลส์ รุมส์ (Villa Les Rhumbs) วิลล่าริมทะเลในเขตนอร์มังดี ที่มีสวนแห่งเอเดนซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพรรณ จุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาตกหลุมรักเสน่ห์ของดอกไม้ ไปจนถึง Château de La Colle Noire บ้านสุดที่รักของ Christian Dior ในเมืองกราสส์ (Grasse) สถานที่สุดมหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยความทรงจำและเบื้องหลังกลิ่นหอมของน้ำหอม Dior
หากจะกล่าวว่า J’adore เปรียบเสมือนการเดินทางที่ความหลงใหลจากทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นดีไซเนอร์ระดับกูตูร์ นักปรุงน้ำหอมระดับปรมาจารย์ ศิลปิน และช่างฝีมือมาบรรจบกันก็ไม่ผิดนัก ทุกคนต่างตกหลุมรัก J’adore ในแง่มุมที่ต่างกัน และเลือกสะท้อนความประทับใจนั้นในรูปแบบของตัวเอง
คุณสามารถเข้าใจถึงประวัติศาสตร์ความหอมของ J’adore ได้ตั้งแต่ผนังที่ตกแต่งด้วยดอกไม้จรดเพดาน โดยเลือกเฉพาะสายพันธุ์เดียวกับวัตถุดิบชั้นดีที่อยู่ในน้ำหอม J’adore ทั้งดอกมะลิ ดอกกุหลาบ และดอกส้ม ไปจนถึงเรื่องราวของนักปรุงน้ำหอมระดับปรมาจารย์ทั้ง 3 คน เริ่มจาก Calice Becker มาสเตอร์เพอร์ฟูเมอร์ ที่นำกลิ่นฟลอรัลที่มีความคลีน สดใส และเปล่งประกายของเหล่ามวลดอกไม้นานาพรรณ นำมาผสมผสานกลมกลืน และมาพร้อมคำบรรยายที่ว่า “ถ้าทองคำมีกลิ่นหอมก็ต้องกลิ่นนี้”
และเมื่อ François Demachy นักปรุงน้ำหอมประจำแบรนด์มารังสรรค์กลิ่นหอมนี้ ก็ได้รวบรวมกลิ่นดอกไม้ที่สวยที่สุดจากทั่วทุกมุมโลกออกมาเป็น J’adore Eau De Parfum และในปี 2021 ดอกไม้แห่งอิสตรีก็ถูกนำมาปรุงใหม่อีกครั้งภายใต้ชื่อ J’adore Infinissime ก่อนที่ Francis Kurkdjian จะมาต่อยอดสร้างสรรค์น้ำหอมที่เปี่ยมเสน่ห์กลิ่นใหม่ ที่มีองค์ประกอบอันซับซ้อนของดอกไม้ โดยเขาได้เพิ่มความเข้มข้นของกลิ่นดอกไม้มากขึ้น เพื่อสร้างนิยามแห่งเอกลักษณ์ใหม่ให้กับกลิ่นหอม ภายใต้ชื่อ L’Or de J’adore
ใครเลยจะละสายตาจากขวดน้ำหอม J’adore ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากคนโทโบราณ เปรียบเสมือนเครื่องประดับของชนเผ่ามาไซ ได้รับการออกแบบโดย Hervé Van der Straeten ไปจนถึงขวดสุดพิเศษที่สร้างสรรค์โดยศิลปินที่มีชื่อเสียง ผู้เยี่ยมชมยังเพลิดเพลินไปกับการสาธิตการตกแต่งขวดทรงโค้งระดับตำนานทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทำให้ได้มาซึ่งส่วนเว้าโค้งของขวดที่สมบูรณ์แบบจากช่างฝีมือของ Dior
การเรียงตัวอย่างแม่นยำของสร้อยบนขวดน้ำหอม ได้รับแรงบันดาลใจจากสร้อยไข่มุกหลายชั้นทรง Belle Époque ของคุณแม่ของเขา และเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของน้ำหอม Dior ปิดผนึกด้วยด้ายสีทองอันเป็นเอกลักษณ์โดยใช้เทคนิคแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า โบดรูชาจ (Baudruchage)
ที่ผ่านมาศิลปินผู้ออกแบบหลายท่านได้ปรับโฉมขวดน้ำหอม J’adore ใหม่ เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของน้ำหอมชั้นสูงที่ทรงคุณค่าราวกับเครื่องประดับชั้นสูง Jean-Michel Othoniel เป็นหนึ่งในศิลปินที่เนรมิตขวดน้ำหอมโฉมใหม่ทั้งหมด 3 รูปแบบ โดยหนึ่งในนั้นคือ L’Or de J’adore เปรียบเสมือนดอกไม้ประดับลูกปัดที่บรรจุอยู่ในขวดทรง Amphora ในตำนาน คุณจะได้เห็น L’Or de J’adore ทรงขวดโค้งเว้า และวงแหวนสีทองนับสิบที่ร้อยเรียงเป็นเครื่องประดับเฉกเช่นบนคอของอิสตรี ตั้งตระหง่านอยู่บนแท่นสีทองราวกับเป็นของล้ำค่าที่ซุกซ่อนความลับในวิหารสีทองสุดลึกลับ
ภาพลักษณ์ของ J’adore มีความโดดเด่นไม่แพ้ความหอมจากช่อดอกไม้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของน้ำหอม ภาพของ Carmen Kass ที่อาบไล้ทองคำราวกับคลีโอพัตรายุคใหม่ หรือ Charlize Theron ซึ่งปลดเปลื้องอาภรณ์และเครื่องประดับ เหลือไว้เพียงแค่ขวดน้ำหอมที่ห่อหุ้มร่างกายไว้ ภาพเหล่านี้ราวกับย้ำเตือนเสมอว่า “ถ้าทองคำมีกลิ่นหอมก็ต้องกลิ่นนี้”
แคมเปญต่างๆ ของ J’adore ได้ก้าวเข้าสู่มิติใหม่ของการคำนึงถึงวัฒนธรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นภาพของหญิงสาวที่สวมใส่เสื้อผ้าระดับโอต์กูตูร์เพื่อเชิดชูสัญลักษณ์แห่งความเย้ายวนที่อยู่เหนือกาลเวลาในภาพยนตร์โฆษณาที่สร้างสรรค์โดย Jean-Baptiste Mondino หรือการตีความจาก Katerina Jebb ช่างภาพหญิง ผ่านผลงานในรูปแบบการเอ็กซเรย์ขวดของ J’adore หรือแม้แต่ผลงาน Stitched ของ Fred Eerdekens ที่ใช้วัสดุขึ้นรูปสีทองมาร้อยเรียงเป็นตัวอักษรที่สามารถอ่านได้หลากหลายมุมมอง
ขณะเดียวกัน ชุดที่สวยตลอดกาลของ Monsieur Dior ถูกจัดแสดงในรูปแบบ Immersive และ Interactive โดย Refik Anadol ศิลปินที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญ Visual Journey พาคุณเข้าสู่อาณาจักรแห่งศิลปะดิจิทัล เปิดเป็นสุนทรียศาสตร์จากเทคโนโลยีกึ่งภาพลวงตาของทะเลสีทองที่ดูเงียบสงบและยังคงสะท้อนความหรูหราสง่างามของ J’adore ได้อย่างดี ในชื่อชุด ‘A dream of gold and flowers’ รวมถึงประติมากรรม ‘Gold Rose’ ของ Jean-Michel Othoniel ซึ่งเป็นการเดินทางเข้าสู่จุดที่สำคัญที่สุดของความหอมของ J’adore
และปิดท้ายด้วยการเดินทางผ่าน Golden Tunnel of Photographs ซึ่งจัดแสดงภาพถ่ายดอกไม้นานาพรรณ 45 ภาพ และภาพถ่ายชุดเดรสและขวดน้ำหอม J’adore ผลงานของ Yuriko Takagi ช่างภาพชาวญี่ปุ่น ที่สะท้อนให้เห็นวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของขวดน้ำหอมและความงดงามของดอกไม้หลากสีสัน
นิทรรศการครั้งนี้มีเหล่าแบรนด์แอมบาสเดอร์และเซเลบริตี้เข้าร่วมงาน เช่น Charlize Theron, Robert Pattinson, Rachel Zegler, Jenna Ortega, Ava Wang, Emma Raducanu, Anya Taylor-Joy สำหรับประเทศไทย ต้าเหนิง-กัญญาวีร์ สองเมือง บินลัดฟ้าพร้อมกับ Dior Beauty ไปร่วมงานในครั้งนี้ด้วย