ดัชนีหุ้นไทย (SET) ร่วงแตะ 1,294 จุด ต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ แม้ว่ารัฐบาลจะแถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับนโยบาย ดิจิทัลวอลเล็ต เพิ่มเติม ซึ่งน่าจะเข้ามาช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน รวมทั้งเป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก
ปมถอดถอนนายกฯ มีน้ำหนักต่อหุ้นไทยมากกว่าดิจิทัลวอลเล็ต
สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย มองว่า แม้โครงการดิจิทัลวอลเล็ตน่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ได้ราว 0.5% แต่ปัจจัยที่สำคัญกว่านั้นคือประเด็นทางการเมือง
“ตลาดจะตอบรับเชิงบวกต่อเมื่อการเมืองนิ่ง เพราะท้ายที่สุดหากการเมืองไม่แน่นอน จะเกิดคำถามตามมาว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเดินหน้าต่อได้หรือไม่”
สำหรับประเด็นการเมืองที่ว่านี้คือ การตัดสินคดียื่นถอดถอน เศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะตัดสินในวันที่ 14 สิงหาคมนี้
หากผลการตัดสินทำให้กระทบต่อการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2568 จะยิ่งเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น
อย่างไรก็ดี หากการเมืองได้ข้อสรุปและโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเดินหน้าตามแผน เชื่อว่าจะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีกมากที่สุด เพราะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากกำลังซื้อที่ฟื้นกลับมา
ลุ้น SET ฟื้นไตรมาส 4
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยที่ลดลงมาอยู่ ณ จุดนี้ เป็นจังหวะที่ควรหาโอกาสทยอยซื้อ มากกว่าลดพอร์ต
แต่ในระยะสั้นมีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะซบเซาต่อเนื่องไปจนถึงปลายไตรมาส 3 ก่อนที่จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาส 4 ทั้งจากการเบิกจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต การท่องเที่ยวที่เริ่มเข้าสู่ High Season รวมทั้งความชัดเจนในเรื่องของการเมืองในประเทศ และการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะลดดอกเบี้ยได้ในเดือนกันยายน ทำให้สภาพคล่องจะเริ่มไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดขึ้น (Emerging Market) ซึ่งรวมถึงไทยด้วย
ส่วนการฟื้นตัวของดัชนีในปีนี้อาจกลับไปสู่ระดับ 1,340-1,370 จุด
ยืนยัน 7-Eleven และร้านสะดวกซื้ออื่นๆ เข้าร่วมโครงการ
จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า ร้านสะดวกซื้อต่างๆ มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ รวมไปถึง 7-Eleven และ CJ Express โดยกลุ่มร้านค้าจะสามารถเริ่มต้นลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ คาดว่าน่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 2 ล้านร้านค้า โดยแบ่งเป็นหลายกลุ่ม ดังนี้
- กลุ่มนิติบุคคล ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีจำนวนทั้งสิ้น 910,000 ร้านค้า
- กลุ่มธงฟ้าและร้านอาหารธงฟ้า ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ มีจำนวน 198,000 ร้านค้า
- กลุ่มโชห่วย หาบเร่แผงลอย และร้านตลาดนัด กลุ่มนี้ต้องขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย คาดว่าจะมีร้านเข้ามาร่วมโครงการอีกประมาณ 400,000 ร้านค้า
- กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์ ซึ่งขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำนวน 93,000 ร้านค้า
- ห้างค้าส่ง-ค้าปลีก และร้านสะดวกซื้อ ที่ขึ้นทะเบียนกับสมาคมค้าปลีกไทยอีกประมาณ 50,000 ร้านค้า
ทั้งนี้ จุลพันธ์ยืนยันว่า รวมถึงร้านสะดวกซื้อชั้นนำในไทยทั้ง 6 เจ้า
- กลุ่มผู้ผลิตและร้านค้าในเครือข่าย ซึ่งขึ้นทะเบียนกับสมาคมค้าปลีกไทยอีกประมาณ 500,000 ร้านค้า
“โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเป็นโครงการแรกของรัฐที่ดึงเอาร้านค้าเข้ามาร่วมโครงการจำนวนไม่ต่ำกว่า 2 ล้านร้านค้า ซึ่งจะเป็นการใช้ฐานข้อมูลใหม่ๆ ร่วมกันหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหาบเร่แผงลอยที่กระทรวงพาณิชย์ไม่เคยมีข้อมูลของกลุ่มเหล่านี้เลย อีกทั้งกระทรวงมหาดไทยก็ไม่เคยสำรวจข้อมูลกลุ่มนี้อย่างจริงจัง” จุลพันธ์กล่าว
โดยจุลพันธ์ได้เน้นย้ำว่า ถ้าหากกลุ่มหาบเร่แผงลอยจะเข้าร่วมโครงการนี้ จำเป็นต้องขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งคาดว่าจะมีมาเพิ่มอีกจำนวน 400,000 ร้านค้า และในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มีข้อมูลของวิสาหกิจและสหกรณ์การเกษตร โครงการนี้จะเป็นครั้งแรกที่ใช้ฐานข้อมูลร่วมกัน
พร้อมระบุอีกว่า ร้านค้าทุกประเภทสามารถซื้อ-ขายสินค้ากันได้ ไม่มีข้อกำหนดเงื่อนไข Face to Face แม้อยู่ต่างพื้นที่ สินค้าทุกประเภทสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ยกเว้น Negative List
ย้ำเกณฑ์ร้านค้าที่รับการใช้จ่ายจากประชาชน
สำหรับร้านค้าที่รับการใช้จ่ายจากประชาชนกำหนดให้เป็นร้านค้าขนาดเล็กรวมถึงร้านสะดวกซื้อ แต่ไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่งขนาดใหญ่ระดับประเทศและระดับท้องถิ่น
ทั้งนี้ คุณสมบัติร้านค้าที่สามารถถอนเงินสดจากโครงการฯ ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี ดังนี้
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax: VAT)
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax: PIT) เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมิน
- ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax: CIT)
ส่องหุ้นค้าปลีกที่น่าจะได้อานิสงส์
บล.กรุงศรี ระบุว่า แม้ระยะสั้นจะมีโอกาสที่ตลาดอาจผิดหวังกับข้อมูลจากการแถลงรายละเอียดของดิจิทัลวอลเล็ต เนื่องจากไม่มีประเด็นใหม่ที่มีนัยสำคัญ
แต่ด้วยกรอบเวลาที่มีความชัดเจนมากขึ้น รวมทั้งการให้รายละเอียดที่สร้างความเชื่อมั่นได้มากขึ้น เช่น การที่มีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช่วยตรวจสอบระบบชำระเงิน, การชี้แจงระบบป้องกันทุจริต และแนวทางการใช้งบประมาณส่วนเพิ่มปี 2567 ในปีงบประมาณถัดไป เชื่อว่าตลาดมีโอกาสค่อยๆ ฟื้นกลับมาตอบรับทางบวกต่อหุ้นอิงกับเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic)
ในเชิงกลยุทธ์แนะนำให้ทยอยสะสมหุ้น CPALL, CPAXT, BJC และ OSP