×

Death’s Game เรียนรู้คุณค่าชีวิตผ่านความตาย

09.01.2024
  • LOADING...
Death’s Game

HIGHLIGHTS

  • ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือชีวิตหลากหลายที่ชเวอีแจต้องไปอาศัยอยู่ในร่างเหล่านั้น ตั้งแต่ทายาทมหาเศรษฐี เด็กวัยรุ่นที่ถูกรังแก นักฆ่า นักโทษ หรือแม้กระทั่งเด็กทารก โดยเขาไม่มีทางรู้ว่า ‘ความตาย’ จะส่งเขาไปที่ใด ซึ่งทุกๆ ร่างที่ไปอาศัยอยู่ก็ค่อยๆ ทำให้เขาย้อนกลับไปมองชีวิตของตัวเองก่อนตายที่คิดว่าเหมือนอยู่ในนรก ก็มีคนที่ชีวิตย่ำแย่ไม่ต่างจากเขา
  • ตัวละครแต่ละตัวที่ชเวอีแจไปใช้ชีวิตอยู่เป็นเหมือนตัวแทนองค์ประกอบของชีวิตมนุษย์ ทั้งชื่อเสียง เงินทอง ความรัก ที่เราอาจคิดว่านั่นคือทั้งหมดของชีวิต เมื่อมีสิ่งผิดพลาดอาจจะคิดว่าโลกจบสิ้นแล้ว แต่จริงๆ แล้วเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต และยังมีโอกาสเริ่มต้นใหม่หากเรายังมีลมหายใจอยู่

“ฉันช่วยเสริมอัตราการได้งานให้มหาวิทยาลัยไม่ได้เลยแฮะ ประเทศเรามีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดหรือเปล่านะ ก็นะ…ถ้าเป็นเรื่องนี้ช่วยเสริมให้ได้อยู่” 

 

ประโยคที่ ชเวอีแจ ตัวละครหลักของ Death’s Game ว่าไว้ก่อนปลิดชีวิตตัวเอง สะท้อนปัญหาการฆ่าตัวตายที่แก้ไม่ตกของสังคมเกาหลีใต้ จนทำให้มีซีรีส์หลายเรื่องหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เช่นใน Daily Dose of Sunshine ที่ได้ดูกันเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ใน Death’s Game แตกต่างออกไปด้วยอารมณ์แอ็กชันดราม่าแฝงความหมายของการมีชีวิตอยู่ที่เรียนรู้ผ่านความตาย 

 

ชเวอีแจ (ซออินกุก) คือนักศึกษาจบใหม่จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เขาถูกเรียกสัมภาษณ์งานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่อมีชายคนหนึ่งฆ่าตัวตายต่อหน้าเขา จนทำให้ชเวอีแจไม่ได้รับเลือกเข้าทำงาน ผ่านไป 7 ปี ชีวิตของชเวอีแจวนเวียนอยู่กับความล้มเหลว หมดตัว และต้องเลิกกับคนที่รัก ทำให้เขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย 

 

แต่ทันใดนั้นเขากลับฟื้นขึ้นมาในร่างของคนอื่น พร้อมการปรากฏตัวของหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า ‘ความตาย’ (พัคโซดัม) ที่ต้องการลงโทษให้ชเวอีแจต้องเกิดใหม่ใน 12 ชีวิตที่ตกอยู่ในอันตราย หากสามารถเอาชีวิตรอดได้ก็จะได้ใช้ชีวิตในร่างนั้นต่อไป แต่เมื่อล้มเหลวเขาจะต้องตกนรก ซึ่งทำให้เขาค่อยๆ เรียนรู้ความหมายของการมีชีวิตอยู่ พร้อมๆ กับค้นหาว่าอะไรคือบาปที่ทำให้ตกอยู่ในชะตากรรมนี้

 

 

ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือชีวิตหลากหลายที่ชเวอีแจต้องไปอาศัยอยู่ในร่างเหล่านั้น ตั้งแต่ทายาทมหาเศรษฐี เด็กวัยรุ่นที่ถูกรังแก นักฆ่า นักโทษ หรือแม้กระทั่งเด็กทารก โดยเขาไม่มีทางรู้ว่า ‘ความตาย’ จะส่งเขาไปที่ใด ซึ่งทุกๆ ร่างที่ไปอาศัยอยู่ก็ค่อยๆ ทำให้เขาย้อนกลับไปมองชีวิตของตัวเองก่อนตายที่คิดว่าเหมือนอยู่ในนรก ก็มีคนที่ชีวิตย่ำแย่ไม่ต่างจากเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังให้บทเรียนเกี่ยวกับชีวิตและโลกรอบตัวที่เขาอาจจะลืมคิดไปก่อนที่จะคิดสั้น ทั้งความยากลำบากของคนใกล้ชิดไปจนถึงมุมมองต่อใครบางคนที่แตกต่างออกไปเมื่อเขาได้ไปอยู่ในชีวิตใหม่ 

 

พล็อตเรื่องการสลับร่างเกิดใหม่อาจจะดูไม่ใหม่มาก แต่ Death’s Game ก็ใส่กิมมิกให้ชเวอีแจสามารถย้อนความทรงจำก่อนหน้า มีทักษะและบุคลิกภาพบางอย่างของร่างที่ไปอาศัยอยู่ ทำให้ตัวละครเข้าถึงบทเรียนของแต่ละชีวิตดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมชีวิตเก่า ทำให้ตัวละครสองคาแรกเตอร์เชื่อมโยงถึงกัน นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ได้ใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงหน้าตา กลายเป็นสิ่งยั่วยุให้ทำในสิ่งที่เหลื่อมล้ำศีลธรรมได้ง่ายๆ ทำให้คาแรกเตอร์ของชเวอีแจไม่ใช่แค่ตัวละครที่น่าสงสารที่มีทั้งด้านขาวและดำเหมือนมนุษย์ทั่วไป 

 

ตัวละครแต่ละตัวที่ชเวอีแจไปใช้ชีวิตอยู่เป็นเหมือนตัวแทนองค์ประกอบของชีวิตมนุษย์ ทั้งชื่อเสียง เงินทอง ความรัก ที่เราอาจคิดว่านั่นคือทั้งหมดของชีวิต เมื่อมีสิ่งผิดพลาดอาจจะคิดว่าโลกจบสิ้นแล้ว แต่จริงๆ แล้วเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต และยังมีโอกาสเริ่มต้นใหม่หากเรายังมีลมหายใจอยู่ และสิ่งที่ซีรีส์เหมือนจะเน้นย้ำคือคนเราไม่สามารถเอาชนะความตายได้ แต่เอาชนะอุปสรรคได้ และบ่อยครั้งที่เรามักมองว่าชีวิตคนอื่นดีกว่าตัวเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วการใช้ชีวิตในรูปแบบของตัวเองคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว 

 

ด้วยตัวบทที่จะต้องย้ายร่างไปเรื่อยๆ ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้อุดมไปด้วยนักแสดงชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น คิมแจอุค, อีโดฮยอน, ชเวซีวอน, อีแจอุค ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าพลังดาราดึงดูดให้ซีรีส์เรื่องนี้น่าสนใจ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือการแสดงแบบไร้รอยต่อ ทำให้คนดูเชื่อได้ว่าแต่ละคนกำลังมีสองคาแรกเตอร์อยู่ในคนเดียวกัน และที่ต้องชื่นชมเป็นพิเศษคือการเลือกซออินกุกมารับบทชเวอีแจ ด้วยบุคลิก สีหน้า และแววตาที่ถ่ายทอดพัฒนาการของตัวละครได้ตั้งแต่ชายหนุ่มผู้น่าสงสาร จนกระทั่งสั่งสมความแค้นเข้าขั้นฆาตกรโรคจิต

 

ในขณะที่พาร์ตแรกคือการปูเรื่องราวของตัวละครหลักที่แม้จะเต็มไปด้วยปรัชญาชีวิตผ่านบทสนทนาระหว่างชเวอีแจและ ‘ความตาย’ แต่ซีรีส์ก็เล่าออกมาได้อย่างน่าตื่นเต้นผ่านฉากแอ็กชันและเทคนิคการตัดต่อที่ดีเยี่ยม พอเข้าสู่พาร์ตหลังเรื่องราวพลิกกลับเป็นซีรีส์ล้างแค้น เต็มไปด้วยฉากสยองขวัญชนิดให้คนดูนั่งไม่ติด อย่างไรก็ตาม ต้องชื่นชมงานภาพและการกำกับศิลป์ที่คุมโทนทั้งการจัดวางและการใช้สีให้มีความพอเหมาะพอดีทั้งฉากที่ดูน่ากลัว และการเข้าสู่ภาพย้อนอดีตก็มีเอฟเฟกต์ชวนคิดถึง

 

แต่สิ่งที่เหมือนจะบกพร่องไปของ Death’s Game ในพาร์ตหลังคือการปูทางความสัมพันธ์ของตัวละครบางตัว จนทำให้จุดจบของตัวละครไม่ค่อยเซอร์ไพรส์ โดยเฉพาะเมื่อเป็นซีรีส์เกาหลีจึงหนีไม่พ้นความเชื่อแบบคนเอเชีย ซึ่งบาปสุดท้ายที่ว่าก็น่าจะเดาได้ไม่ยาก 

 

 

โดยภาพรวม Death’s Game นับเป็นซีรีส์ที่คมคาย มาพร้อมคำสอนมากมาย แต่คนดูกลับไม่รู้สึกว่ากำลังถูกใครสั่งสอนอยู่ ด้วยการเล่าเรื่องสั้น กระชับ และเว้นที่ว่างให้ได้นั่งคิดทบทวนผ่านชีวิตของตัวละคร ที่สำคัญเป็นการสั่งสอนแบบใช้ยาแรงถึงเลือดถึงเนื้อที่แม้จะไม่ใช่คอหนังแนวปรัชญาก็สามารถเอ็นจอยได้ ในขณะเดียวกันก็ให้มุมมองเกี่ยวกับความตายว่ามันไม่ใช่แค่จุดจบ แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นของความทุกข์ทรมานที่ไม่ได้เกิดกับเรา แต่อาจจะเกิดกับใครบางคน 

 

อย่างที่ตัวละครชเวอีแจว่าไว้ หลังจากผ่านความตายมาหลายรูปแบบ “ความทรมานที่สุดไม่ใช่ความตาย แต่เป็นการเห็นคนที่รักจากไปต่างหาก”

 

รับชม Death’s Game ได้ที่ Prime Video 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising