×

เพื่อนที่ทำงานชอบถามว่า “เป็นไหม?” จะตอบอย่างไรดี

07.08.2019
  • LOADING...
Dealing With Sexual Orientation at Work

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน เราไม่ได้เอา ‘ความเป็นเพศ’ มาทำงานด้วยอยู่แล้ว เราจะมีรสนิยมทางเพศแบบไหนก็ไม่ได้เอามาใช้ในการทำงานอยู่ดี พูดให้ตรงกว่านั้นก็คือ เราจะมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศไหน จะหฤหรรษ์แค่ไหน เราก็ไม่ได้เอามันมาใช้ในการทำงาน มันเป็นชีวิตด้านอื่นของเรา ถ้ามันไม่เกี่ยวกับบริบทการทำงาน ผมก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องเหมาะสมที่คนในที่ทำงานควรก้าวก่ายหรือเอามาเป็นประเด็น
  • เพื่อนร่วมงานที่ดีจริง รักเราจริง เขาไม่มาวุ่นวายกับเราในเรื่องนี้หรอก คนที่มาถามน่าจะเป็นพวกคนอยากรู้ ไม่ได้มีคุณค่าอะไรกับชีวิตเรามาก เราทำงานของเราไป ไม่ไปใส่ใจกับพวกเขามาก เขาก็จะไม่อยู่ในหัวเราครับ อย่างที่ผมบอกหลายครั้ง เพื่อนร่วมงานก็คือเพื่อนร่วมงาน เราแค่มาทำงานด้วยกัน แต่ถ้าจะได้เพื่อนร่วมงานที่ดี และสามารถขยายไปสู่เรื่องอื่นนอกการทำงาน เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้ อันนั้นถือว่าเป็นโบนัส 
  • ส่วนเรื่องผลกระทบต่องาน ผมคิดว่าถ้าเราวางตัวดี เราทำงานได้ดี สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นเกราะคุ้มครองตัวเราได้ระดับหนึ่ง ถ้าเรามีผลงานที่ดีอยู่แล้ว สิ่งนี้น่าจะทำให้เราก้าวหน้าได้ ที่จริงไม่ว่าเป็นเพศไหนก็ควรต้องวางตัวดีทั้งนั้น ไม่เกี่ยวหรอกครับว่าเป็นเกย์แล้วต้องวางตัวดี ถ้าเราให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน เราก็ควรได้รับเกียรติจากเพื่อนร่วมงานเหมือนกัน

Q: ผมทำงานอยู่ในสายงานที่มีแต่ผู้ชาย ที่จริงผมชอบเนื้องานมากครับ แต่อึดอัดเรื่องเพื่อนร่วมงานอยู่เหมือนกัน ส่วนตัวผมเป็นเกย์ มีแฟนเป็นผู้ชาย แต่ผมไม่เปิดเผยให้คนอื่นรู้ เพราะกลัวมีผลต่องานที่ทำอยู่ ยิ่งทำงานอยู่ในบริษัทที่มีวัฒนธรรมแบบ This is a man’s world ด้วย คนที่ก้าวหน้าในหน้าที่การงานก็จะเป็น Heterosexual เป็นส่วนใหญ่ เพื่อนร่วมงานมักจะคอยถามด้วยความอยากรู้เรื่องส่วนตัวผมเสมอว่ามีแฟนหรือยัง แต่งงานหรือยัง ผมเองไม่สะดวกใจที่จะตอบเท่าไร ไม่อยากโกหกแต่ก็กลัวมีผลกระทบกับงานเหมือนกันครับ กลัวเขารับไม่ได้แล้วผมจะทำงานต่ออย่างไร ผมควรทำอย่างไรดีครับ  

 

A: เรื่องบางเรื่อง ไม่สิ…เรื่องหลายเรื่องในชีวิตของคนเรานั้นก็เป็นเรื่องที่รู้แล้วไม่ได้เกิดประโยชน์ แต่แค่ตอบโจทย์เรื่องความอยากรู้เฉยๆ เรื่องส่วนตัวอย่างรสนิยมทางเพศก็เหมือนกันครับ รู้ไปแล้วได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เพราะฉะนั้น จะรู้เพื่อ…? 

 

ยุคนี้แล้ว จะเป็นเพศไหนมันเป็นเรื่องธรรมดามาก การเป็นเกย์หรือไม่เป็นเกย์มันไม่ควรเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดามาก เหมือนไม่มีใครตกใจถ้าจะมีคนบอกว่าชอบกินก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ ไม่มีใครบอกว่า “อะไรนะ! เธอชอบก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่เหรอ!?” ก็ไม่มี เหมือนกันครับ ชอบเพศไหน เป็นเพศไหน ก็เหมือนชอบก๋วยเตี๋ยวเส้นไหนนั่นแหละครับ 

 

บางคนอาจจะบอกว่าถ้ารู้ว่าใคร ‘เป็น’ หรือ ‘ไม่เป็น’ จะได้วางตัวกับคนคนนั้นถูก คำถามของผมก็คือ ถ้าเขา ‘เป็น’ แล้วเราต้องวางตัวต่างกับที่เขา ‘ไม่เป็น’ อย่างไร ถึงอย่างไรไม่ว่าใครจะเป็นหรือไม่เป็น เราก็ควรให้ความเคารพซึ่งกันและกัน 

 

เอาเข้าจริง ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน เราไม่ได้เอา ‘ความเป็นเพศ’ มาทำงานด้วยอยู่แล้ว เราจะมีรสนิยมทางเพศแบบไหนก็ไม่ได้เอามาใช้ในการทำงานอยู่ดี พูดให้ตรงกว่านั้นก็คือ เราจะมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศไหน จะหฤหรรษ์แค่ไหน เราก็ไม่ได้เอามันมาใช้ในการทำงาน มันเป็นชีวิตด้านอื่นของเรา ถ้ามันไม่เกี่ยวกับบริบทการทำงาน ผมก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องเหมาะสมที่คนในที่ทำงานควรก้าวก่ายหรือเอามาเป็นประเด็น

 

ผู้ชายที่เหยียดเพศ ผู้ชายที่ล้อเลียนเพศอื่น ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่โคตรจะแมน ตรงกันข้าม เขาดูน่าสมเพชด้วยซ้ำ 

 

ใครจะคิดอย่างไรคงเหนือการควบคุมของเรา คนอยากรู้ก็คือคนอยากรู้ ผมคิดว่าที่เราควบคุมได้คือเราจะวางตัวบนเรื่องนี้อย่างไร

 

คริส อีแวนส์ นักแสดงจากเรื่อง The Avengers มีพี่ชายเป็นเกย์ ทั้งคู่สนิทกันมากและมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จนนักข่าวไปเจอคริส อีแวนส์ในผับเกย์ ก็เลยปล่อยข่าวเมาท์กันสนุกว่าคริสจะเป็นหรือไม่เป็น สิ่งที่คริส อีแวนส์ทำคือการอยู่เฉยๆ ไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาให้เหตุผลว่า เขาไม่รู้สึกว่าการเป็นเกย์เป็นเรื่องผิดปกติหรือเป็นเรื่องไม่ดี ถ้ามีคนกล่าวหาว่าเขาเป็นเกย์แล้วเขาตอบโต้ ก็แปลว่าเขารู้สึกไม่ดีกับการที่พี่ชายเป็นเกย์ด้วยเหมือนกัน ในเมื่อเขาไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องผิดปกติ เขาจึงไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร และการที่เขาไปไหนมาไหนกับพี่ชายที่เป็นเกย์ก็เพราะเขารักพี่ชาย และเขาอยากให้คนรู้สึกเหมือนกันว่านี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

 

เอาว่าอย่างแรก ผมดีใจอย่างหนึ่งที่คุณไม่รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง เราเกิดมาเป็นคน เราต้องมี Self-Esteem อยู่ เราไม่ได้ทำอะไรผิด เราไม่ควรต้องรู้สึกผิด เราควรมีความสุข และภูมิใจในตัวเราเองก่อน

 

อะไรที่ไม่สะดวกตอบ ผมก็คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องตอบ ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย เรื่องแบบนี้อยู่ที่ความสบายใจของตัวเราเอง เรามีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยอะไร และถ้าเปิดจะเปิดเผยแค่ไหนที่เราจะสบายใจอยู่ 

 

ถ้าเจอยิงคำถามน่ากวนใจมาก วิธีหยุดเขาอาจทำได้โดยการเป็นฝ่ายชงคำถามให้เขาตอบแทนด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่สุภาพ เขาทำไม่เหมาะสมไม่ได้แปลว่าเราต้องทำไม่เหมาะสมไปด้วย เป็นการส่งสัญญาณอย่างสุภาพว่าควรให้เกียรติกันในการไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว

 

สมมติสถานการณ์เป็นแบบนี้ครับ ให้คิดภาพตัวเองเหมือนดาราที่เจอนักข่าวยิงคำถาม หลักการคือไม่ก้าวร้าว ไม่กระโชกโฮกฮาก ตอบนิ่งๆ สุภาพ แต่คำตอบต้องเฉียบ

 

เขา: น้องชอบผู้ชายหรือผู้หญิง

เรา: มีอะไรหรือเปล่าครับ

เขา: ไม่มีอะไร พี่แค่อยากรู้

เรา: อ๋อ ครับ พี่แค่อยากรู้เหรอครับ

เขา: แล้วตกลงน้องชอบผู้ชายหรือผู้หญิง พี่จะได้วางตัวถูก

เรา: พี่ต้องวางตัวอย่างไรล่ะครับ

เขา: ถ้าน้องเป็นเกย์ พี่จะได้วางตัวว่าน้องเป็นเหมือนน้องสาวพี่อีกคนไง แต่ถ้าไม่ได้เป็นก็ไม่มีอะไร

เรา: ไม่มีอะไรก็ดีครับ ไปทำงานกันดีกว่า

เขา: แล้วสรุปว่าเป็นหรือไม่เป็น ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะ

เรา: ผมเองก็ไม่เคยถามพี่เหมือนกัน เพราะคิดว่าผมไม่สะดวกที่จะถามเรื่องส่วนตัวกับพี่ 

เขา: งั้นแปลว่าน้องเป็นเกย์หรือเปล่า เป็นรุกหรือเป็นรับล่ะ

เรา: เป็นคนรักษามารยาทครับ 

 

เจอไปเบอร์นี้ผมว่าเขาก็ควรจะหยุดนะ ฮ่าๆ เดี๋ยวเขาก็จะเหนื่อยไปเองแหละครับเพราะไม่ได้คำตอบจากเราสักที ยิ่งเราทำให้คนเห็นว่าเราไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขา คนเหล่านี้ก็จะไม่อยู่ในสายตาเราเองครับ

 

ผมเชื่ออย่างหนึ่งนะครับว่า เพื่อนร่วมงานที่ดีจริง รักเราจริง เขาไม่มาวุ่นวายกับเราในเรื่องนี้หรอก คนที่มาถามน่าจะเป็นพวกคนอยากรู้ ไม่ได้มีคุณค่าอะไรกับชีวิตเรามาก เราทำงานของเราไป ไม่ไปใส่ใจกับพวกเขามาก เขาก็จะไม่อยู่ในหัวเราครับ อย่างที่ผมบอกหลายครั้ง เพื่อนร่วมงานก็คือเพื่อนร่วมงาน เราแค่มาทำงานด้วยกัน แต่ถ้าจะได้เพื่อนร่วมงานที่ดี และสามารถขยายไปสู่เรื่องอื่นนอกการทำงาน เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้ อันนั้นถือว่าเป็นโบนัส เราไม่ต้องไปคาดหวังว่าทุกคนจะต้องดีกับเรา เช่นเดียวกัน เราไม่จำเป็นต้องทำดีเท่ากันกับทุกคนที่เราเจอ คนไหนดีกับเรา เราก็ดีตอบ คนไหนไม่ดีกับเรา เราก็ไม่ไปยุ่ง ไม่ไปเสียเวลา พอไม่ใส่ใจเขา เขาก็ไม่อยู่ในชีวิตเราเองครับ ต่อให้อยู่ในที่ทำงานเดียวกันก็เหมือนไม่ได้อยู่ในชีวิตเรา

 

ส่วนเรื่องผลกระทบต่องาน ผมคิดว่าถ้าเราวางตัวดี เราทำงานได้ดี สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นเกราะคุ้มครองตัวเราได้ระดับหนึ่ง ถ้าเรามีผลงานที่ดีอยู่แล้ว สิ่งนี้น่าจะทำให้เราก้าวหน้าได้ ที่จริงไม่ว่าเป็นเพศไหนก็ควรต้องวางตัวดีทั้งนั้น ไม่เกี่ยวหรอกครับว่าเป็นเกย์แล้วต้องวางตัวดี ถ้าเราให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน เราก็ควรได้รับเกียรติจากเพื่อนร่วมงานเหมือนกัน

 

ถ้าแค่มาถามว่าเป็น-ไม่เป็นผมคิดว่าอาจจะสร้างความรำคาญให้เราหน่อย อาศัยเรานิ่งและปล่อยให้เขาหายอยากไปเองก็ยังพอไหว แต่ถ้าลามไปถึงการเมาท์ต่อที่ส่งผลเสียต่อการทำงาน ผมว่าอันนี้ต้องจัดการ ถ้าเมาท์ว่าเป็นเกย์อาจจะปล่อยผ่าน แต่ถ้าเมาท์ว่าเราบ้าผู้ชายหรือมี Sexual Harassment กับคนอื่น อันนี้ผมคิดว่าไม่ควรปล่อยไว้ คุยกับหัวหน้าและ HR โลด!

 

แต่ถ้าบริษัทจะไม่ยอมให้เราเติบโตเพียงเพราะเราเป็นเพศไหน ผมว่าบริษัทนั้นก็มืดบอดไปหน่อย และมันน่าคิดนะครับว่า ถ้าเขากีดกันคนบนเรื่องเพศได้แล้วเรื่องหนึ่ง มันจะมีเรื่องอื่นๆ อีกไหมที่เขาจะกีดกัน มันไม่ใช่ที่ทำงานที่ดีเลย

 

หนักข้อหน่อยถ้าที่ทำงานคุณแสดงออกชัดเจนว่าเหยียดเพศจริง มีการล้อเลียน ดูถูกเพศอื่นๆ ผมก็คิดว่าถ้าอยู่แล้วจะเป็นทุกข์มาก ก็ยังมีที่ทำงานที่อื่นอีก ผู้ชายไม่ได้เหมือนกันทั้งโลกเสียหน่อย ผมเชื่ออย่างหนึ่งนะครับว่า ในที่ทำงานต่อให้เป็นที่ทำงานแบบ It’s a man’s world ก็ต้องมีคนที่ไม่ตัดสินใครจากเพศอยู่

 

ทำงานของเราให้ดี วางตัวให้ดี มีมารยาทกับคนรอบตัว ไม่ตัดสินคนอื่นเหมือนกับที่เราไม่อยากให้ใครมาตัดสินเราเหมือนกัน และก็ทำให้เขารู้ว่า นี่ไม่ใช่ It’s a man’s world แต่เป็น It’s OUR world, not only yours  

 

ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ 

 

ภาพ: Nisakorn Rittapai

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising