×

Cyrille Regis อัศวินนักเตะผิวสีที่รัก ตำนานลูกหนังที่โลกอาลัย

22.01.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • กลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาวงการฟุตบอลอังกฤษได้สูญเสีย ไซริลล์ รีจิส อัศวินนักเตะผิวสีคนสำคัญที่แผ้วทางให้นักเตะผิวสีรุ่นหลังอย่าง แอนดี้ โคล, เลส เฟอร์ดินานด์, เอมิล เฮสกีย์ ได้ดำเนินรอยตาม
  • ฟุตบอลอังกฤษในยุค 70 ซึ่งเป็นช่วงที่ไซริลล์เริ่มแจ้งเกิดนั้นเป็นช่วงที่มีปัญหาการเหยียดสีผิวอย่างรุนแรง หากเป็นนักเตะผิวสีแล้ว พวกเขาพร้อมถูกตัดสินจากสรีระทันทีว่านี่เป็นพวก ‘มนุษย์กล้าม’ ไม่ใช่ ‘นักฟุตบอล’
  • แต่ไซริลล์ รีจิส เป็นส่วนน้อยที่พิเศษอย่างยิ่งของโลกลูกหนังที่ได้โอกาสในการเล่นในบทศูนย์หน้าทั้งที่สีผิวแตกต่าง และด้วยความสามารถที่น่าอัศจรรย์ของเขาที่ครบเครื่องทั้งความแข็งแกร่ง ความเร็ว และการจบสกอร์ที่เหลือเชื่อ ทำให้เขาไปได้ไกลถึงทีมชาติอังกฤษ

ช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาวงการฟุตบอลอังกฤษได้สูญเสีย ‘ฮีโร่’ คนหนึ่งไปอย่างไม่มีวันกลับครับ

 

ความจริงฮีโร่คนนี้อาจจะไม่ใช่คนที่แฟนบอลรุ่นหลังรู้จักมากนักเพราะไม่ได้เป็นนักเตะสตาร์มหาชนในระดับวงกว้าง แต่การจากไปของเขากลับนำความโศกเศร้าครั้งใหญ่สู่คนในแวดวงลูกหนังเมืองผู้ดีอย่างมากมายเหลือคณา

 

นักฟุตบอลระดับตำนานในยุค 90 หลายต่อหลายคนโพสต์ข้อความถึงเขา

 

คนข่าวระดับอาวุโสมากมายพร้อมใจเขียนบทสดุดีอย่างพร้อมหน้า

 

เช่นกันกับแฟนบอลที่เกิดทันกันก็หัวใจสลายไม่แตกต่าง

 

คิดถึงว่าเขาคนนี้ไม่ได้เล่นในทีมระดับท็อปและโด่งดังอย่าง ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล อีกทั้งติดทีมชาติอังกฤษเพียงแค่ 5 นัดเท่านั้น มันก็อาจเข้าใจได้ยากว่าทำไมผู้คนจึงอาลัยมากขนาดนี้

 

แต่หากไม่มีเขาคนนี้ นักเตะอย่าง แอนดี้ โคล, เลส เฟอร์ดินานด์, เอมิล เฮสกีย์, มาจนถึงทุกวันนี้กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด), โดมินิค คาลเวิร์ต-เลวิน (เอฟเวอร์ตัน) และ เรียน บริวสเตอร์ (ลิเวอร์พูล) อาจไม่มีแม้แต่ ‘โอกาส’ สักเล็กน้อยในเกมฟุตบอลอังกฤษเลยครับ

 

นักเตะผิวสีในอังกฤษ มีทุกวันนี้ได้เพราะเขาช่วยแผ้วทางถางพงหญ้าให้เดินตามมา

 

มาร่วมอาลัยและรำลึกถึงเขาไปด้วยกันนะครับ

 

ไซริลล์ รีจิส อัศวินนักเตะผิวสีที่รัก

 

 

The Trailblazer ผู้ลบบาดแผลด้วยรอยยิ้ม

ว่าแต่ ผมจะอธิบายถึงตัวตนของ ไซริลล์ รีจิส อย่างไรดีนะ?

 

สำหรับนักเตะรุ่นหลังๆ ไม่ค่อยมีใครคล้ายเขามากนักครับ กับกองหน้าในสไตล์ตัวเป้า (targetman) ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ มัดกล้ามกำยำ มีความเร็วบ้าง และมีการจบสกอร์ที่เฉียบขาด อาจจะยิงไม่มากแต่แทบทุกลูกของเขาสามารถส่งเข้าประกวดประตูยอดเยี่ยมประจำเดือน หรือประจำปีได้เลย

 

เอาจริงๆ เขาก็เคยคว้ารางวัลประตูประจำฤดูกาลของ BBC ได้ด้วยในปี 1981-1982!

 

นักฟุตบอลที่ใกล้เคียงกับ รีจิส ที่สุดอาจจะเป็น เอมิล เฮสกีย์ ที่แฟนบอลในรุ่น 30 กะรัตน่าจะพอนึกออก เพียงแต่ต่างกันตรงที่ รีจิส ไม่ได้เป็นกองหน้าที่ลงมาช่วยเกมรับตามสไตล์ของยุคสมัยที่แตกต่าง

 

เขาเป็นดาวดังของทีม ‘เดอะ แบ็กกีส์’ เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน สโมสรฟุตบอลทางมิดแลนด์ของอังกฤษ เป็นหนึ่งใน 3 ทหารเสือของทีมร่วมกับ ลอรี คันนิงแฮม และ เบร็นดอน บัตสัน

 

รอน แอตกินสัน ผู้จัดการทีมชื่อดังในยุคนั้น (คุมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อน เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน) เรียกขานทั้งสามว่า The Three Degrees ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สโมสรในดิวิชันสูงสุดมีนักเตะผิวสีพร้อมกันถึง 3 คน

 

แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เหมือนว่าจะเป็นเรื่องราวชีวิตที่ดี แต่เอาเข้าจริงไม่ใช่เลยครับ

 

ฟุตบอลอังกฤษในยุค 70 ซึ่งเป็นช่วงที่พวกเขาเริ่มแจ้งเกิดนั้นเป็นช่วงที่มีปัญหาการเหยียดสีผิวอย่างรุนแรง

 

แรงในระดับที่นักฟุตบอลผิวสีในปัจจุบันนี้อาจจินตนาการไม่ออกว่ามันเลวร้ายแค่ไหน

 

รีจิส รวมถึง คันนิงแฮม และ บัตสัน ต้องเผชิญกับมันทุกวัน

 

นอกจากเสียงด่าทอที่ยากจะทำใจยอมรับได้จากแฟนบอลแล้ว ผู้คนในวงการฟุตบอลยุคนั้นเองก็ไม่ได้ให้การยอมรับนักเตะผิวสีมากนักครับ

 

หากเป็นนักเตะผิวสีแล้ว พวกเขาพร้อมถูกตัดสินจากสรีระทันทีว่านี่เป็นพวก ‘มนุษย์กล้าม’ ไม่ใช่ ‘นักฟุตบอล’ (เหมือนนักเตะผิวขาวที่รูปร่างบอบบางกว่า) ดังนั้นตำแหน่งที่ถูกตัดสินเอาเองว่าเหมาะกับนักเตะผิวสีในยุคนั้นคือตำแหน่งที่ใช้ความเร็วอย่างเช่น ‘หมายเลข 11’ ในตำแหน่งปีก (ยกตัวอย่างเช่น คันนิงแฮม หรือจอห์น บาร์นส)

 

หรืออีกทีก็คือตำแหน่งที่ใช้ความแข็งแกร่งและพละกำลังอย่าง ‘หมายเลข 4’ หรือปราการหลังตัวกลาง

 

น้อยมากครับที่จะมีนักเตะผิวสีที่ได้เล่นในบท ‘หมายเลข 9’ หรือกองหน้า เรียกว่าแทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

 

 

แต่ ไซริลล์ รีจิส เป็นส่วนน้อยที่พิเศษอย่างยิ่งของโลกลูกหนังที่ได้โอกาสในการเล่นในบทศูนย์หน้าทั้งที่สีผิวแตกต่าง และด้วยความสามารถที่น่าอัศจรรย์ของเขาที่ครบเครื่องทั้งความแข็งแกร่ง ความเร็ว และการจบสกอร์ที่เหลือเชื่อ ทำให้เขาไปได้ไกลถึงทีมชาติอังกฤษ

 

น่าเศร้าที่กำแพงทางสีผิวทำให้เขามีโอกาสได้ติดทีมชาติเพียงแค่ 5 ครั้งเท่านั้น

 

ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นรองใครเลยในยุคสมัยเดียวกัน

 

แต่ รีจิส ไม่ได้คิดมาก

 

เขาต้องการแค่ทำให้ดีที่สุดในสนาม และยิ้มสู้ในทุกวัน

 

เขากล้าที่จะกระโดดลงจากรถบัสเป็นคนแรกแม้จะรู้ว่าจะต้องเจอกับเสียงสบถ คำด่าทอ หรือแม้แต่เสลดน้ำลายจากกองเชียร์ทีมฝ่ายตรงข้าม

 

เขากล้าที่จะลงไปทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในสนาม แม้ว่าจะถูกปาด้วยกล้วยลงมาในสนาม

 

เขากล้าจะยิงประตูคู่ต่อสู้ และกล้าที่แม้แต่จะสวมเสื้อทีมชาติอังกฤษสีขาวสะอาด เพราะมั่นใจว่ามันคือสิ่งที่คู่ควรกับเขา

 

สำหรับ รีจิส นอกจากคู่แข่งที่เขาไม่อยากแพ้แล้ว แฟนบอลฝ่ายตรงข้ามที่ตะโกนด่าทอเขาว่า ‘ไอ้มืด’ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นก็เป็นคู่แข่งที่เขาอยากเอาชนะให้ได้ด้วยเช่นกัน

 

“เราปล่อยให้พวกเขาชนะไม่ได้ แต่จะให้ผมทำอย่างไร? ให้ไปสู้กับคนอีกเป็น 10,000 หรือ? สิ่งที่ผมทำได้คือการเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง ลงไปเล่นให้ดี ทำประตูให้ได้”

 

มันไม่ใช่การชนะเพื่อความสะใจ

 

สิ่งที่เขาต้องการคือการ ‘ยอมรับ’ ในฐานะ ‘มนุษย์’ ที่เท่าเทียมกัน

 

ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น

 

 

อัศวินนักเตะผิวสีที่รัก

ความเด็ดเดี่ยวในสนามของ ไซริลล์ รีจิส เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง เปรียบไปก็เหมือนอัศวินในชุดเกราะสีดำผู้แข็งแกร่ง

 

แต่ใต้เกราะสีดำทะมึนนั้น ตัวตนของเขากลับอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรักที่พร้อมมอบให้แก่ทุกคน

 

ในยุคสมัยนั้นนักฟุตบอลไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์เหมือนในสมัยนี้ครับ พวกเขาก็แค่ทำงานเป็นนักฟุตบอล อาชีพที่มีรายได้ดีกว่าชาวบ้านแต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันราวฟ้ากับผืนดินเหมือนทุกวันนี้

 

รายได้ 100 ปอนด์ต่อสัปดาห์ในสมัยนั้นก็นับว่าเยอะแล้วครับ

 

รีจิส เองก่อนจะมาเล่นฟุตบอลก็เคยเป็นช่างไฟมาก่อน และเขาก็เป็นที่รู้จักและเป็นที่รักกันดีในหมู่แฟนบอลแบ็กกีส์

 

ในวันที่ไม่มีแข่งนั้นนักฟุตบอลก็จะไปดื่มกันที่ผับในเมือง ซึ่งเขาจะมีที่ประจำอยู่ที่ The Star & Garter ผับที่อยู่นอกตัวเมืองออกไปเล็กน้อย

 

ถ้าเป็นวันแข่งในบ้านนักเตะอัลเบียนจะจอดรถกันที่โรงเรียนที่อยู่ใกล้สนามแล้วจึงเดินเข้ามาที่สนาม ไม่ได้นั่งรถโค้ชมาพร้อมกันเหมือนในปัจจุบัน ดังนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่นักเตะและแฟนบอลจะได้ใกล้ชิดพูดคุยแลกเปลี่ยน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน

 

บางครั้งนักเตะจะถูกส่งไปพบกับแฟนบอลด้วยเพื่อความใกล้ชิดตามความตั้งใจของนายใหญ่อย่าง รอน แอตกินสัน ที่อยากให้ลูกทีมได้รู้ว่า “ใครคือคนจ่ายเงินค่าเหนื่อยให้พวกเขา”

 

และในหมู่นักฟุตบอลยุคนั้น คนที่แฟนบอลชื่นชอบมากที่สุดคนหนึ่งคือ รีจิส นี่แหละครับ

 

ที่เขาเป็นที่รักนั้นไม่ใช่เพราะแค่เล่นเก่ง ทำประตูได้เยอะ หรือยิงสวย

 

สิ่งที่ทำให้ รีจิส ชนะใจแฟนบอลทีมตัวเองได้ไม่ยากคือการเป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยพลังบวก

 

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเสมอ และสิ่งที่เขาพูดนั้นล้วนเป็นเรื่องที่น่าฟังเสมอ

 

ยิ่งในยุคสมัยนั้นอังกฤษประสบปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรง และเมืองเวสต์ บรอมวิช ก็เป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากที่สุด ชาวเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนงานในโรงงานใช้ชีวิตกันยากลำบาก ฟุตบอลจึงเป็นหนึ่งในสิ่งยึดเหยี่ยวสำหรับพวกเขา

 

การที่มีนักฟุตบอลผิวสีที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ พร้อมสู้กับทุกเรื่องราวในชีวิตด้วยรอยยิ้ม โดยที่พวกเขาสามารถเดินไปทักทายหรือพูดคุยได้ตลอดเวลา จึงเป็นกำลังใจที่สำคัญสำหรับชาวเมืองเวสต์บรอมฯ ในเวลานั้น

 

ขณะที่เด็กๆ ผิวสีในรุ่นต่อมา สำหรับพวกเขา ไซริลล์ รีจิส คือคนที่พวกเขาอยากเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

 

นักเตะกองหน้าทีมชาติอังกฤษผิวสีคนนี้คือ ‘แรงบันดาลใจ’ ของยุคสมัย

 

และเขาเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดแคมเปญ ‘Kick It Out’ การรณรงค์เพื่อต่อสู้กับปัญหาการเหยียดสีผิว

 

ถ้า รีจิส ทำได้ ทุกคนก็ทำได้

 

ช่วงชีวิตหลังอำลาสนามฟุตบอล เขาทำงานอยู่เบื้องหลังในบริษัทเอเจนซีชื่อดัง Stellar Group และใช้เวลาว่างในการทำงานการกุศล โดยเฉพาะการสนับสนุนคนผิวสีที่ทุกวันนี้ยังเผชิญกับปัญหาเดิมอยู่ แม้ความรุนแรงอาจไม่เท่าในยุค 40-50 ปีที่แล้วก็ตาม

 

การจากไปในวัย 59 ปีของเขาจึงไม่ใช่แค่การสูญเสียยอดนักเตะครับ แต่เรายังได้สูญเสียสุภาพบุรุษลูกหนัง และแรงบันดาลใจของยุคสมัยด้วย

 

เพียงแต่ที่สุดแล้วเรื่องราวของ ไซริลล์ รีจิส จะไม่มีวันหายไป

 

เพราะนี่คือหนึ่งในตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

 

และงดงามที่สุดด้วยเช่นกัน

 

Photo: Reuters

อ้างอิง:

FYI
  • ไซริลล์ รีจิส ทำผลงาน 158 ประตูในลีก จากการเล่น 614 นัด และติดทีมชาติอังกฤษ 5 นัดในระหว่างปี 1982-1987
  • เมื่อปี 2008 รีจิส ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น MBE จากงานด้านอาสาสมัคร
  • ในช่วงบั้นปลายชีวิตการเล่นเขาเคยพังประตูพาทีมต้นสังกัด โคเวนทรี ซิตี้ คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ เมื่อปี 1987 ด้วยการล้ม ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 3-2
  • แต่ที่คนจดจำเขาได้มากที่สุดคือเขาและเหล่า The Three Degrees บุกไปถล่ม ‘ปีศาจแดง’ ถึงถิ่น 5-3
  • เพราะอาการบาดเจ็บทำให้ รีจิส พลาดการย้ายไปร่วมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างน่าเสียดาย ไม่อย่างนั้นอาจมีตำนานศูนย์หน้าแห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด เพิ่มอีกคน 🙂
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising