×

เดินป่าแบบ Hiking กับ Trekking ต่างกันอย่างไรนะ แล้ว Mountaineering อีกล่ะ?

23.05.2022
  • LOADING...
เดินป่า
  • การเดินป่าเกิดขึ้นเมื่อไร 
  • แล้วทำไมคำศัพท์เดินป่าช่างดูสับสน
  • บางครั้งก็ใช้ Hiking บางครั้งใช้ Trekking ทั้งๆ ที่เป็นการเดินป่าเหมือนกัน 
  • สองคำนี้ต่างกันอย่างไร?
  • ถ้าอยากได้คำตอบ THE STANDARD POP จะมา Cracked ให้คุณฟัง

 

ระยะนี้กิจกรรมเดินป่า ผจญภัยแนวแอดเวนเจอร์ได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่นักเดินทางคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเบื่อห้าง และมองหาประสบการณ์การเดินทางที่มากกว่าการไปดูนู่นนี่นั่นแล้วกลับ ไล่มาตั้งแต่เซิร์ฟ, SUP Board ไปจนถึงการแคมปิ้งและเดินเทรล ยิ่งข้อสุดท้าย เวลาเสิร์ชหาข้อมูลเดินป่า บางคนก็เรียกกิจกรรมนี้ว่า Hiking บางคนก็เรียก Trekking ชวนให้สับสนมึนงงไปหมด จนหลายคนคิดว่ามันใช้แทนกันและเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว Hiking กับ Trekking ไม่ใช่คำที่มีความหมายเหมือนกันเสียทีเดียว แต่จะแตกต่างอย่างไรนั้น นี่คือคำตอบ

 

🌳🥾กิจกรรมเดินป่าเกิดขึ้นเมื่อไร?🥾🌳

ไม่มีใครทราบว่าการเดินป่าเกิดขึ้นเมื่อไร อาจตั้งแต่ครึ่งล้านปีก่อนที่มนุษย์เรียนรู้ที่จะยืนตัวตรงและเดิน แรกเริ่มเดิมที การเดินป่าอาจเป็นกิจกรรมเพื่อหาอาหาร ล่าสัตว์ ดำรงชีพ แต่เท่าที่มีการบันทึกไว้ การเดินป่าอาจย้อนไปไกลถึงยุคอียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์นิยมใช้การเดินป่าในการสำรวจพื้นที่และรวบรวมแหล่งอาหารและเสบียง โดยพวกเขาบันทึกหลักฐานเหล่านั้นในรูปแบบของอักษรภาพที่พรรณนาถึงกลุ่มคนเดินเขา ซึ่งถือตะกร้าและอาหาร

 

🌳🥾 นิยามความหมายของ Hiking และ Trekking 🥾🌳

พจนานุกรมภาษาอังกฤษ Oxford ได้ให้คำจำกัดความของทั้ง 2 คำนี้ว่า ‘Hiking’ หมายถึง กิจกรรมการเดินป่าระยะไกลในประเทศเพื่อความเพลิดเพลิน ขณะที่ ‘Trekking’ หมายถึง การเดินทางไกลหรือยากลำบากด้วยการเดินเท้า ซึ่งเมื่อนำความหมายมาพิจารณาจะเห็นว่า ทั้งสองคำนั้นมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการเดิน แต่แตกต่างกันในเรื่องของระยะทางและความสมบุกสมบัน 

 

โดยทั่วไป Hiking หมายถึงการเดินป่าเพื่อความเพลิดเพลินตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้โดยเจ้าหน้าที่หรือนักสำรวจคนก่อนๆ อาจใช้เวลาทำกิจกรรมตั้งแต่ครึ่งวันไปจนถึงค้างคืน เส้นทางเดินง่าย ไม่สมบุกสมบัน และส่วนใหญ่มีไว้เพื่อศึกษาธรรมชาติ

 

ส่วน Trekking หมายถึง การเดินป่าระยะไกลที่กินระยะเวลายาวนานกว่า Hiking มีทั้งผ่านเส้นทางที่มีคนสำรวจไว้แล้วหรือออกนอกเส้นทางหลัก มีการค้างอ้างแรม จึงจำเป็นต้องมีเต็นท์เพื่อแคมปิ้ง รวมถึงสัมภาระอื่นจำพวกอาหาร ยารักษาโรค ถ้าพูดกันแบบง่ายๆ Trekking ก็คือการเที่ยวป่าเขาลำเนาไพรโดยใช้เท้าสัญจร

 

🌳🥾 5 ความต่างของ Hiking และ Trekking 🥾🌳

 

  1. ระยะเวลา

ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดของ 2 กิจกรรมนี้ Trekking มักใช้เวลาอย่างน้อย 2 วันหรือนานกว่านั้น โดยมีระยะทางตั้งแต่หลักหลายสิบกิโลเมตรจนถึงพันกิโลเมตร ขณะเดียวกัน Hiking เป็นเพียงการเดินระยะสั้น ไม่ต้องเตรียมมาก ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จ หรือถ้าค้างคืนก็เป็นการเดินเพื่อความเพลิดเพลิน หาประสบการณ์

 

  1. ลักษณะเส้นทาง

Hiking มักใช้เส้นทางที่จัดเตรียมไว้จากเจ้าหน้าที่ ส่วน Trekking ใช้ทั้งเส้นทางที่กำหนดและมีออกนอกเส้นทางที่ยังไม่ได้สำรวจบ้าง Trekking จึงมีอิสระมากกว่า และสัมผัสธรรมชาติได้ลึกกว่า

 

  1. ที่พัก

นักเดินป่าแบบ Hiking มักกลับมาพักยังจุดเดิมเสมอ อาจเป็นเต็นท์แคมป์ บ้านพัก หรืออะไรก็แล้วแต่ ในขณะที่ Trekking จะพักไม่ซ้ำสถานที่เดิม โดยพวกเขาจะพกเต็นท์และเปลนอนไปด้วย อารมณ์ค่ำไหนนอนนั่น จนกว่าจะถึงปลายทาง

 

  1. อุปกรณ์

Hiking ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เยอะ แค่ต้องการเสื้อผ้าที่รัดกุมและรองเท้าที่เหมาะสม อาจมีเป้เพื่อบรรจุอาหาร น้ำ และอาหารว่าง ส่วนนักเดินป่า Trekking จะต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ให้ครบถ้วนต่อการดำรงชีพตลอดการเดินทาง ทั้งอาหาร, เครื่องดื่ม, ยารักษาโรค, แผนที่, เข็มทิศ, เสื้อผ้า, ถุงนอน, ไม้ค้ำยัน ฯลฯ 

 

  1. การเตรียมความพร้อม

ความยากของภูมิประเทศที่ต้องการเผชิญและระยะทางแสนยาวไกล ทำให้นักเดินป่าแบบ Trekking ต้องมีการเตรียมร่างกายให้พร้อม และเลือกเส้นทางให้เหมาะกับสภาพร่างกายของตนเอง ซึ่งต่างจาก Hiking ที่เส้นทางส่วนมากมักเดินง่าย ใช้เวลาไม่นาน ผู้เดินอาจไม่ต้องเตรียมความพร้อมอะไรมาก แต่ต้องรู้ขีดจำกัดและสภาพร่างกายตนเองให้ดี 

 

🌳🥾 ว่าแต่ Mountaineering คืออะไร? 🥾🌳

บางกิจกรรม การเดินและแบกอุปกรณ์ที่คล้าย Trekking แต่ใช้ทักษะในการปีนเขา เราจะเรียกกิจกรรมนั้นว่า Mountaineering ไม่ว่าจะเป็นการเดิน / ปีนขึ้นภูเขาหิน ภูเขาน้ำแข็ง ฯลฯ กิจกรรมที่เข้าข่าย Mountaineering เช่น การพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ เป็นต้น

 

อ่านมาถึงตรงนี้คงแยกออกแล้วใช่ไหมว่าการเดินป่าแบบไหนคือ Hiking แบบไหนคือTrekking และไม่ว่าจะเป็นการเดินป่าแบบไหนก็ตาม สิ่งหนึ่งที่อยากให้ผู้อ่านคำนึงที่สุดคือสภาพร่างกายของตนเอง อย่าฝืนถ้าไม่ไหว อย่าแข่งกับคนอื่นๆ เพราะทุกคนมีจังหวะการเดินและสภาพร่างกายไม่เหมือนกัน และจงระวังอยู่เสมอ คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะแค่การพลั้งเผลอเล็กน้อยอาจหมายถึงชีวิตและทรัพย์สินที่เราไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้

 

ภาพ: Shutterstock

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising