จบไปแล้วกับศึกดีเบตรอบสุดท้ายที่รัฐเทนเนสซี ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน กับ โจ ไบเดน ผู้สมัครจากเดโมแครต ซึ่งภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและราบรื่นกว่าดีเบตครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว โดยผู้สมัครทั้งสองเคารพกฎกติกา ตอบคำถามได้ตรงประเด็นมากขึ้น และเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ชี้แจง (แน่นอนว่าระบบปิดไมค์ก็มีส่วนช่วย)
และนี่คือไฮไลต์เด่นจากการดีเบตที่ทั่วโลกจับตา
โควิด-19
คริสเตน เวลเกอร์ ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาว จาก NBC News ผู้ดำเนินรายการเปิดคำถามแรกบนเวทีดีเบตที่มหาวิทยาลัยเบลมอนต์ เมืองแนชวิลล์ มลรัฐเทนเนสซี ด้วยประเด็นโควิด-19
ไบเดนวิจารณ์ทรัมป์ว่าล้มเหลวในการรับมือโรคระบาด หนึ่งในนั้นคือการไม่ส่งเสริมให้ประชาชนสวมหน้ากาก และเร่งตรวจเชื้อให้ประชาชนในวงกว้าง ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไบเดนบอกว่า หากเป็นเขา เขาจะสร้างความเชื่อมั่นด้านกฎเกณฑ์ต่างๆ ในการเปิดโรงเรียนและธุรกิจ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะปลอดภัยและมีหนทางอยู่รอดได้
ไบเดนยังเตือนว่า เหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดที่จะเกิดจากโรคระบาดยังมาไม่ถึง และประเทศจะเข้าสู่ฤดูหนาวที่มืดมนขึ้น พร้อมวิจารณ์ว่าทรัมป์ไม่มีแผนที่ชัดเจน และเขาคิดว่าประชาชนส่วนใหญ่จะไม่ได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงก่อนกลางปีหน้าอย่างแน่นอน
“ใครก็ตามที่มีส่วนทำให้ประชาชนเสียชีวิตมากมายขนาดนี้ ไม่สมควรที่จะอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป …เรากำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวอันมืดมิด และเขา (ทรัมป์) ก็ยังไม่มีแผนที่ชัดเจน” ไบเดนกล่าว
ขณะที่ทรัมป์ตอบโต้คำวิจารณ์เรื่องการรับมือโควิด-19 ว่า เขาดำเนินมาตรการต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อป้องกันการระบาด และส่งสัญญาณว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแนวทางการรับมือโควิด-19 แม้ว่าเคสผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นก็ตาม
“เราต่อสู้กับมัน เราสู้กับมันอย่างหนัก มันกำลังจะหายไป… ผมติดเชื้อ ผมเรียนรู้มากมาย เราต้องฟื้นตัว เราไม่สามารถปิดประเทศได้” ทรัมป์กล่าว
“ผมไม่รู้ว่าเราจะมีฤดูหนาวที่มืดมิด เรากำลังเปิดประเทศแล้ว เราเรียนรู้ ศึกษา และเข้าใจโรคระบาดแล้ว”
ทรัมป์อ้างว่าตอนที่เขาเสนอปิดเมือง (พรมแดน) ไบเดนไม่เห็นด้วยในตอนนั้น แต่ไบเดนแย้งขึ้นทันทีว่า เขาเสนอให้ปิดพรมแดนรับคนที่เดินทางมาจากจีน
ส่วนเรื่องวัคซีนนั้น ทรัมป์ย้ำว่าวัคซีนจะพร้อมแจกจ่ายภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่เขาไม่รับประกันว่าเรื่องนี้จะเป็นไปได้ ขณะที่ข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่า วัคซีนทุกตัวยังอยู่ในขั้นการทดลองและทดสอบ ขณะที่สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ ต้องพิจารณาข้อมูลประกอบเพื่ออนุมัติใช้วัคซีนฉุกเฉิน อย่างไรก็ดี ทรัมป์ยังคาดหวังในแง่บวกว่าจะมีวัคซีนที่พร้อมใช้อย่างน้อย 1 ตัวภายในสิ้นปีนี้
เกี่ยวกับมาตรการรับมือนั้น ไบเดนยกรัฐนิวยอร์กว่าเป็นตัวอย่างในการควบคุมโรคระบาด เขาชี้ว่านิวยอร์กดำเนินมาตรการหลายอย่างในการลดอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิต แต่เขาเห็นความแตกต่างระหว่างรัฐสีแดงกับรัฐสีฟ้า (มีผู้ว่าการรัฐเป็นรีพับลิกันและเดโมแครต)
ไบเดนมองว่า รัฐที่ผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นมักเป็นรัฐสีแดง เป็นรัฐในแถบมิดเวสต์ อย่างไรก็ตาม เขาไม่สนว่ารัฐใดจะเป็นสีแดงหรือสีฟ้า เพราะประชาชนในรัฐเหล่านั้นล้วนเป็นพลเมืองชาวอเมริกันทั้งหมด ซึ่งสิ่งสำคัญคือการรณรงค์ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเป็นลำดับแรก
แต่ทรัมป์โต้ว่า รัฐนิวยอร์กลายสภาพเป็นเมืองร้าง ร้านอาหารต่างกำลังจะปิดกิจการ เพราะการชัตดาวน์ที่นำโดยรัฐบาลเดโมแครต
ทรัมป์กล่าวว่า ธุรกิจในรัฐดังกล่าวไม่มีรายได้ การสั่งให้ติดกระจกแก้วเพื่อป้องกันมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นและเพิ่มต้นทุน ซึ่งเขายืนยันว่านั่นไม่ใช่ทางออก
ครอบครัวอเมริกัน
ผู้สมัครทั้งสองถูกถามถึงปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดกับครอบครัวชาวอเมริกันอันเนื่องมาจากโรคระบาด และปัญหาการเข้าถึงระบบประกันสุขภาพอย่างทั่วถึง โดยที่ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงความล่าช้าในการผลักดันมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทรัมป์ตอบว่า การที่ไม่มีข้อตกลงด้านมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจและรัฐบาลท้องถิ่นจากผลกระทบของโควิด-19 นั้น เป็นเพราะ แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากเดโมแครต ไม่อนุมัติ
“แนนซี เพโลซี ไม่อยากอนุมัติ ทั้งที่เราพร้อมอยู่แล้ว และมีเจตจำนงที่จะทำอะไรบางอย่าง อย่าลืมนะครับ เราได้อนุมติแผนกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้ว 3 ฉบับ ซึ่งทั้งหมดผ่านไปเรียบร้อยแล้ว แต่ฉบับนี้ (ข้อตกลงล่าสุดที่ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาระหว่างเดโมแครตกับรีพับลิกัน) เธอไม่ต้องการให้ผ่าน เพราะเวลานี้ใกล้ถึงวันเลือกตั้งแล้ว ซึ่งเธอคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเธอในทางการเมือง ผมคิดว่าหากผ่าน จะส่งผลกระทบต่อเธอในทางการเมือง”
อย่างไรก็ตาม จากรายงานข่าวที่ออกมาในช่วงหลังพบว่า เพโลซีมีความพยายามเจรจากับ สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ มาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากของรีพับลิกันในวุฒิสภา แสดงท่าทีว่า เขาไม่ต้องการให้มีการโหวตข้อตกลงใดๆ ในวุฒิสภาเวลานี้ โดยในเดือนพฤษภาคม สภาผู้แทนราษฎรที่มี ส.ส. เดโมแครตครองเสียงข้างมากได้ผ่านร่างกฎหมายแพ็กเกจเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสภาสูงยังไม่รับพิจารณาแต่อย่างใด
ด้านไบเดนกล่าวว่า มาตรการเยียวยานี้เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน เพื่อช่วยให้รัฐบาลท้องถิ่นฟื้นตัวจากผลกระทบของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
“รัฐต่างๆ ต้องจัดสรรงบประมาณให้สมดุล เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงปลดพนักงานดับเพลิง ครู เจ้าหน้าที่ตอบสนองภัยพิบัติ และเจ้าหน้าที่บังคับกฎหมาย เพียงเพื่อให้เมืองและเคาน์ตีอยู่รอดต่อไปได้ แต่รัฐกลับไม่ทำอะไรเพื่อพวกเขาเลย และมิตช์ แมคคอนเนลล์ บอกว่า ปล่อยให้พวกเขาล้มละลายไป เกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านี้กันแน่เนี่ย?”
ต่อประเด็นเรื่องระบบประกันสุขภาพนั้น ไบเดนหนุนให้ขยายโครงการระบบประกันสุขภาพ Affordable Care Act หรือ ‘โอบามาแคร์’ ให้ครอบคลุมประชาชนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ตัดพ้อคำกล่าวอ้างของทรัมป์ที่ระบุว่าไบเดนสนับสนุนการแพทย์เพื่อสังคมหรือหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เดโมแครตฝ่ายซ้ายผลักดันมาตลอด
เมื่อถูกถามว่า ไบเดนจะทำอย่างไรต่อ หากศาลสูงมีคำสั่งให้คว่ำกฎหมายโอบามาแคร์ตามที่ทรัมป์ให้คำมั่นไว้ในการหาเสียง ไบเดนตอบว่า เขาจะผ่านโอบามาแคร์ด้วยความเห็นจากประชาชน จากนั้นจะตั้งชื่อเล่นใหม่ในแบบที่คุ้นเคยว่า ‘ไบเดนแคร์’
นอกจากนี้ไบเดนยังโจมตีโครงการด้านเฮลธ์แคร์ของทรัมป์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่เปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจน
“เขาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานาน แต่เขาไม่เคยคิดแผนออกมาเป็นรูปธรรม ผมเดาว่าเราจะได้รับแผนที่มีอยู่ก่อนแล้ว ในเวลาเดียวกับที่เราได้แผนโครงสร้างพื้นฐาน”
ขณะที่ทรัมป์กล่าวหาไบเดนว่าเป็นผู้สนับสนุนระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าแบบสังคมนิยม นอกจากนี้ยังกล่าวพาดพิงถึง คามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครรองประธานาธิบดีจากเดโมแครตว่ามีความเสรีนิยม (ลิเบอรัล) ในประเด็นเฮลธ์แคร์ มากกว่า เบอร์นีย์ แซนเดอร์ส ส.ว. รัฐเวอร์มอนต์ ที่เคยลงสมัครเป็นแคนดิเดตพรรคเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีก่อนหน้านี้
“เบอร์นีย์ แซนเดอร์ส ต้องการมัน เดโมแครตต้องการมัน” ทรัมป์กล่าว โดยที่อ้างถึงนโยบาย ‘Medicare for all’ หรือแผนประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่แซนเดอร์สพยายามผลักดันมาตลอด
ขณะที่ไบเดนโต้แย้งว่า ทรัมป์เกิดความสับสนอย่างมาก “เขา (ทรัมป์) คิดว่าเขากำลังแข่งกับคนอื่นๆ แต่เขากำลังแข่งกับ โจ ไบเดน ต่างหาก เพราะผมเอาชนะแคนดิเดตเหล่านั้นมาได้ทั้งหมด (ในการเลือกตั้งขั้นต้น)”
ความมั่นคงของชาติ
หนึ่งในประเด็นที่เกี่ยวโยงกับความมั่นคงของชาติ เป็นเรื่องของความสัมพันธ์อันดีระหว่างทรัมป์กับ คิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ
ไบเดนวิจารณ์ทรัมป์ว่า พยายามกลบเกลื่อนสถานการณ์ที่อันตรายบนคาบสมุทรเกาหลี ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคิมจองอึน
“เขาสร้างความชอบธรรมให้กับเกาหลีเหนือ เขาพูดถึงเพื่อนที่ดีของเขา (คิมจองอึน) ซึ่งเป็นอันธพาล พวกเขามีขีดความสามารถด้านขีปนาวุธเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถยิงถึงอาณาเขตของสหรัฐฯ ได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมาก” ไบเดนกล่าว
เวลเกอร์ถามไบเดนว่า หากเป็นไบเดน เขามีเงื่อนไขอะไรบ้าง ถ้าจะพบปะประชุมกับคิมจองอึน
ไบเดนตอบว่า “เงื่อนไขนั้นคือเขา (คิม) ต้องยอมตกลงว่าเขาจะลดศักยภาพด้านนิวเคลียร์ และทำให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดจากนิวเคลียร์”
ทรัมป์ตอบกลับว่า “เขาไม่ชอบโอบามา ผมรู้ข้อเท็จจริงว่า พวกเขาพยายามแล้ว และเขาจะไม่ทำเช่นนั้น”
ทรัมป์ยอมรับว่า เขามี ‘ความสัมพันธ์ที่ดี’ กับผู้นำเกาหลีเหนือจริง แต่ผลดีก็คือไม่เกิดสงครามขึ้น และเขามองว่าเป็นเรื่องดีกับการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้นำคนอื่นๆ
“คุณรู้อะไรไหม เราไม่ได้อยู่ในสงคราม เรามีความสัมพันธ์ที่ดี ประชาชนไม่เข้าใจว่าการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำประเทศอื่นๆ เป็นเรื่องที่ดีนะ”
แต่ไบเดนโต้กลับทันควัน โดยยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า การสร้างความสัมพันธ์เช่นนี้ก็เหมือนกับการที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับฮิตเลอร์ ก่อนที่เขาจะรุกรานประเทศอื่นๆ ในยุโรป จนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
ต่อประเด็นเรื่องการแทรกแซงการเลือกตั้งนั้น ทรัมป์ปฏิเสธที่จะประณามรัสเซียและอิหร่าน หลังมีรายงานว่าทั้งสองชาติพยายามแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้และต่างได้รับข้อมูลการลงทะเบียนของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนชาวอเมริกัน
“ไม่มีใครมีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อรัสเซียมากไปกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อีกแล้ว” ทรัมป์ตอบ พร้อมให้คำมั่นว่า หากได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เขาจะต่อสู้กับการแทรกแซงการเลือกตั้งจากศัตรูต่างชาติ
ด้านไบเดนวิจารณ์ว่า “ผมไม่เข้าใจว่าทำไมประธานาธิบดีคนนี้ถึงไม่เต็มใจทำอะไรปูตินเลย เมื่อเขาจ่ายค่าหัวให้สังหารทหารอเมริกันในอัฟกานิสถาน เมื่อเขาพยายามที่จะทำลายเสถียรภาพขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ทั้งหมด
ไบเดนยังประกาศว่า ประเทศที่พยายามแทรกแซงการเลือกตั้งจะต้องรับผิดชอบผลการกระทำ หากเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เพราะพวกเขากำลังแทรกแซงอำนาจอธิปไตยของสหรัฐฯ
ประเด็นเชื้อชาติ
ทรัมป์ตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็น Black Lives Matter และความแตกแยกทางเชื้อชาติในประเทศว่า เขาเป็นคนที่เหยียดเชื้อชาติน้อยที่สุดในห้องนี้
“มันทำให้ผมเศร้า เพราะผมเป็นคนที่เหยียดเชื้อชาติน้อยที่สุด” ทรัมป์ย้ำ “ผมไม่เห็นแม้กระทั่งผู้ชมเพราะมันมืดมาก แต่ผมไม่สนว่ามีใครอยู่ในกลุ่มผู้ชมนี้ ผมเป็นคนที่เหยียดเชื้อชาติน้อยที่สุดในห้องนี้
“ไม่มีใครทำเพื่อชุมชนคนผิวดำมากกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อีกแล้ว หากคุณลองดู ยกเว้น อับราฮัม ลินคอล์น ข้อยกเว้นที่เป็นไปได้ แต่นอกจาก อับราฮัม ลินคอล์น แล้ว ไม่มีใครที่ทำในสิ่งที่ผมทำ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญา โอบามาและโจไม่ได้ทำอะไรเลย” ทรัมป์กล่าว
ขณะที่ไบเดนตอบว่า “อับราฮัม ลินคอล์น เป็นหนึ่งในประธานาธิบดีที่เหยียดเชื้อชาติมากที่สุดที่เราเคยมีประวัติศาสตร์ยุคสมัยใหม่ เขาเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟแห่งการเหยียดเชื้อชาติทุกครั้ง” หลังทรัมป์อ้างว่าตัวเขาเป็นประธานาธิบดีที่ทำเพื่อชุมชนคนผิวดำมากที่สุดนับตั้งแต่ยุคลินคอล์น
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
เกี่ยวกับประเด็นโลกร้อนนั้น ทรัมป์และไบเดนแชร์วิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันและถกกันนานเกือบ 12 นาที โดยในส่วนของนโยบายลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลนั้น ไบเดนแสดงจุดยืนสนับสนุนให้สหรัฐฯ ลดการใช้น้ำมัน และเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียนแทน โดยเขาคาดว่ายุทธศาสตร์พลังงานใหม่จะช่วยสร้างงานให้ชาวอเมริกันหลายล้านตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์แย้งว่าแผนของไบเดนมีต้นทุนสูงและจะทำลายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมลรัฐที่เป็นฐานการผลิตน้ำมัน
ไบเดนระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ และภายใน 8-10 ปีข้างหน้านี้ ประเทศสหรัฐฯ จะผ่านจุดที่ไม่อาจหวนกลับคืนได้อีก
“เรามีพันธะทางศีลธรรมที่ต้องจัดการกับมัน” ไบเดนกล่าว
จากนั้นทรัมป์ถามไบเดนกลับว่า “คุณจะปิดอุตสาหกรรมน้ำมันหรือ?”
“ใช่ครับ ผมจะเปลี่ยนแปลง” ไบเดนตอบ “เพราะอุตสาหกรรมน้ำมันก่อมลพิษ ดังนั้นจึงต้องแทนที่ด้วยพลังงานหมุนเวียน”
ไบเดนระบุว่า “กระบวนการเปลี่ยนผ่านต้องใช้เวลา เมื่อเวลาผ่านไป ผมจะหยุดจัดสรรงบประมาณอุดหนุนอุตสาหกรรมน้ำมัน”
ทรัมป์แย้งขึ้นทันทีว่า สิ่งที่ไบเดนกำลังพูดคือเขาจะทำลายอุตสาหกรรมน้ำมัน คุณจะจำได้ไหม เท็กซัส? คุณจะจำได้ไหม เพนซิลเวเนีย, โอคลาโฮมา?”
ส่วนคำถามเกี่ยวกับความเสี่ยงที่มีต่อสุขภาพประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้โรงกลั่นน้ำมันนั้น ทรัมป์ตอบว่า ครอบครัวเหล่านั้นได้รับการจ้างงานอย่างเต็มที่ และพวกเขาก็สร้างรายได้ได้มาก
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นนี้ไบเดนไม่เห็นด้วย โดยมองว่าสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่พวกเขาได้เงินมากแค่ไหน แต่ประเด็นอยู่ที่ว่ามีกฎหมายอะไรที่จะช่วยให้พวกเขาปลอดภัยจากมลพิษต่างหาก
ไบเดนตอบประเด็นรับเงินจากต่างชาติ-ทรัมป์ตอบปมภาษี
ทรัมป์กล่าวหาไบเดนว่ารับเงินจำนวนมากจากรัสเซีย ขณะที่ไบเดนยืนกรานปฏิเสธว่า ตลอดชีวิตของเขาไม่เคยรับเงินจากต่างชาติแม้แต่เพนนีเดียว แต่ไบเดนโจมตีกลับว่า ทรัมป์จ่ายภาษี 50 ครั้งในจีน นอกจากนี้ยังมีบัญชีลับในธนาคารจีน และทำธุรกิจในจีนด้วย
ในเวทีดีเบตครั้งนี้ ทรัมป์ยังถูกถามถึงกรณีการเลี่ยงภาษี ซึ่งทรัมป์ยืนยันว่า เขาเสียภาษีล่วงหน้าแล้วจำนวนหลายล้านดอลลาร์ หลังมีรายงานจาก New York Times ก่อนหน้านี้ว่าเขาจ่ายภาษีเงินได้เพียง 750 ดอลลาร์ในปี 2016
พร้อมกันนี้เขายังยืนยันที่จะแสดงข้อมูลรายละเอียดการเสียภาษีหลังจากที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว
หลังจบการดีเบต ผู้ชมส่วนใหญ่มองว่า ทรัมป์ทำได้ดีขึ้นกว่าดีเบตครั้งก่อน ขณะที่โพลหลายสำนักยกให้ไบเดนเป็นผู้ชนะ โดยผู้ชมจากโพล CNN คิดว่าไบเดนชนะ 53% ขณะที่ทรัมป์ชนะ 39%
ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามในโพลของ YouGov America ยกให้ไบเดนชนะ 54% และให้ทรัมป์ชนะ 35%
แต่ท้ายที่สุดแล้วใครจะเข้าเส้นชัย คว้าชัยในบั้นปลาย อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป
พบกับเว็บไซต์พิเศษ US ELECTION 2020 เกาะติดศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ ทั้งสถานการณ์ล่าสุดและบทความเจาะลึก ได้ที่นี่ https://thestandard.co/us-election-2020/
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- https://www.nytimes.com/live/2020/10/22/us/presidential-debate-live?auth=login-facebook#trump-argues-baselessly-that-nancy-pelosi-is-standing-in-the-way-of-a-coronavirus-relief-deal
- https://www.washingtonpost.com/politics/2020/10/22/climate-change-biden-trump-debate/