กระแสร้อนๆ ของโลกในช่วงต้นปี 2023 ก็ต้องยกให้กับการเปิดประเทศของจีนอย่างเป็นทางการที่เพิ่งเริ่มต้นเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา เร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ ชาวจีนสามารถเดินทางเข้าและออกประเทศได้อย่างอิสระโดยไม่จำเป็นต้องกักตัวอีกต่อไป แต่จีนก็ยังคงไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อนุญาตเพียงชาวต่างชาติที่เดินทางเพื่อธุรกิจ นักศึกษา และเพื่อเยี่ยมครอบครัวเท่านั้น ที่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้
สื่อทั่วโลกรายงานภาพบรรยากาศสนามบินหลายแห่งทั่วประเทศของจีนกลับมาคึกคักอีกครั้ง จากที่เงียบเหงาไปกว่า 3 ปีในช่วงโควิด
บทความที่เกี่ยวข้อง
- กูรูแนะกลยุทธ์นักลงทุนในปี 2023 ศึกษาตลาด อย่าหวั่นไหว และรู้ข้อจำกัดตนเอง
- สินทรัพย์ไหนรุ่ง/ร่วง? เปิด 5 คำทำนายจากผู้จัดการกองทุนต่างๆ สำหรับปี 2023
- การลงทุนปี 2023 ทรงอย่าง Good จะ Smooth หรือไม่?
ส่องเศรษฐกิจจีนคึกคักรับเปิดประเทศจีน-เทศกาลใช้จ่ายตรุษจีน
เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ จึงทำให้คนในแวดวงเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลก เกาะติดสถานการณ์การเปิดประเทศของจีนในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ จอห์น วอลด์รอน ประธานของ Goldman Sachs Group Inc. ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ในจีน ออกมาให้ความเห็นว่า ในช่วงระหว่างทางการเปิดประเทศของจีนจะไม่ราบรื่นนัก ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐอเมริกา อาจเกิด Mild Recession ถ่วงบรรยากาศเศรษฐกิจโลก และยังมีเรื่องที่ยากต่อการประเมิน เช่น ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ สถาบันการเงินทั่วโลกไม่มั่นใจการเติบโต และมีการลดการลงทุนในจีนลงอย่างเงียบๆ
ผมเชื่อว่าปีนี้บรรยากาศการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนของชาวจีนจะยาวนานเป็นพิเศษ หลังปลดล็อกมาตรการ Zero-COVID กิจกรรมต่างๆ ในประเทศเพิ่มขึ้นมากแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคหรือการลงทุน ทั้งภาคธุรกิจและประชาชนพร้อมจับจ่ายใช้สอยและเดินทางท่องเที่ยวกัน ล้วนเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
นอกจากนี้จีนยังมีเขตปกครองพิเศษฮ่องกงที่เปิดประเทศไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งฮ่องกงที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของจีนในการค้าขายกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก นักธุรกิจและนักท่องเที่ยวในฮ่องกงสามารถเข้าเดินทางเข้า-ออกฮ่องกงได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกักตัวแล้ว ทำให้ฮ่องกงถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ของจีนในการค้าขายกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ยิ่งทำให้นักธุรกิจและนักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางเข้า-ออกฮ่องกงกลับมาคึกคักตลอดทั้งปีนี้
จีนพยุงเศรษฐกิจโลก ท่องเที่ยวฟื้น ปลดล็อกห่วงโซ่อุปทาน เงินเฟ้อผ่อนคลาย
การเปิดประเทศของจีนในครั้งนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ภาคท่องเที่ยวของประเทศต่างๆ ในเอเชียรวมถึงไทย จะพลิกฟื้นได้เต็มๆ ปี เพราะชาวจีนพร้อมเดินทางทั่วโลกอยู่แล้ว เพื่อปลดปล่อยชีวิตที่ถูกจำกัดอยู่แต่ในประเทศมานาน 3 ปี ผมเชื่อว่าปีนี้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังเติบโตได้จากอานิสงส์จีนเปิดประเทศ แม้จะเติบโตชะลอตัว แต่ก็ไม่น่าจะเกิดภาวะถดถอยอย่างที่มีหลายสำนักประเมินกันไว้ก่อนหน้านี้
นอกจากนี้การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดและการเปิดประเทศเร็วกว่าคาดของจีนจะส่งผลให้เกิดอุปสงค์ภายในประเทศเร่งตัวขึ้นมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มกลับเข้าสู่ปกติราวกลางปีนี้ ถือเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกยังทรงตัวอยู่ระดับสูงในระยะข้างหน้า แต่อาจไม่เร่งตัวขึ้นเร็วเท่าปีที่ผ่านมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
แต่อย่างไรก็ตาม โลกยังมีคำถามต่อการเปิดประเทศของจีนว่า จีนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมที่เราเคยรู้จักไหม? และมองว่ามีความเสี่ยงที่ยังต้องระมัดระวังอยู่
ในช่วงก่อนเกิดโควิด จีนเป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก เปรียบเหมือนเรือลำใหญ่ที่ลากจูงให้เศรษฐกิจโลกเดินหน้าตามไปด้วย แต่เมื่อจีนปิดตัวเองด้วยมาตรการ Zero-COVID โลกทั้งใบก็สั่นสะเทือนตามกันไป
นั่นเพราะจีนเป็นทั้งฐานการผลิตสินค้าป้อนเข้าสู่ตลาดโลกให้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง และเป็นผู้นำเข้าสินค้าหรือผู้บริโภครายใหญ่อีกหลายชนิดของโลกเช่นเดียวกัน
คงจำกันได้ดี ช่วงที่เกิดวิกฤตโควิดที่ผ่านมา ทั่วโลกเกิดปัญหาขาดแคลนห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำคัญๆ เพราะโรงงานผลิตในจีนปิด แม้แต่วัสดุก่อสร้างต่างๆ ก็เช่นกัน ส่งผลให้ราคาสินค้าเหล่านี้ปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และทำให้จีนตกเป็นจำเลยสำคัญว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้สหรัฐฯ เกิดภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ก่อนจะเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนมาซ้ำเติมในปีที่แล้ว และทำให้สหรัฐฯ และยุโรป ได้รับผลกระทบหนักสุดจากภาวะเงินเฟ้อสูง จนต้องปรับนโยบายการเงินด้วยการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องทั้งปีเพื่อดึงเงินเฟ้อให้ลงมา ซึ่งผลพวงของการขึ้นดอกเบี้ยที่ตกมาถึงเวลานี้คือ โอกาสที่สหรัฐฯ และยุโรป อาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ในปีนี้
ขณะที่ฝั่งจีนในปีนี้เพิ่งกลับมาเปิดประเทศ แต่ท่ามกลางเศรษฐกิจหลักของโลกอยู่ในภาวะไม่สู้ดี แน่นอนว่าการค้าระหว่างประเทศที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของจีนก็อาจทำงานได้ไม่เต็มที่นัก ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกยังไม่วางใจตลอดปีนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ทางการจีนก็ได้มีการรับมือสถานการณ์โลกด้วยการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เพื่อให้น้ำหนักต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งคาดว่าธนาคารกลางจีนจะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ด้วยการปรับลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ลงในช่วงครึ่งปีแรก และมีแนวโน้มออกมาตรการสนับสนุนธุรกิจที่เป็นกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้รัฐบาลจีนก็มีแนวโน้มออกนโยบายการคลังที่เน้นกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงบ้าน สนับสนุนรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลผู้สูงอายุ
ในส่วนของนโยบายภาคอสังหาริมทรัพย์เชื่อว่า ทางการจีนน่าจะมีการออกมาตรการเยียวยาเพิ่มเติม จากปีที่แล้วที่มีการให้สินเชื่อพิเศษและปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาระดับหนึ่ง และอานิสงส์จากการเปิดเมือง จะช่วยหนุนภาคอสังหาให้มีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น ก็จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ดีกว่าปีก่อนๆ
ที่สำคัญกว่านั้นประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ประกาศนโยบายทางเศรษฐกิจในอนาคต ‘เน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ’ เป็นเป้าหมายสำคัญ ดังนั้น จะไม่ได้เห็นการเติบโตสูงและแรงดั่งเช่นอดีต ยิ่งทำให้ชาวโลกจับจ้องว่าเส้นทางการเติบโตอย่างมีคุณภาพของจีนจะมีนัยอย่างไร ‘อนาคตจีนยุคหลังโควิด’ น่าติดตามนะครับ
ส่องโอกาสสะสมหุ้นจีน รับปัจจัยบวกเศรษฐกิจจีนเข้ารูปเข้ารอย
ที่แน่ๆ เรามาดูปีนี้กันก่อนครับ ถ้าเศรษฐกิจจีนกลับมาเข้ารูปเข้ารอย แรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อน่าจะบรรเทาลงทั่วโลก บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลกก็น่าจะทยอยกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง
ปีที่แล้วตลาดหุ้นจีนปรับลดลงไปกว่า -22.01% หากปีนี้เศรษฐกิจจีนพลิกฟื้นขึ้นมาเติบโตเกินกว่า 5% และจากนโยบายการผ่อนคลายทางการเงินและการคลังที่จะออกมาเพิ่มเติมจากปีที่แล้ว น่าจะเป็นแรงสนับสนุนให้ตลาดหุ้นจีนกลับมาผงาดได้อีกครั้งในปี 2023 ก็จะส่งอานิสงส์ไปถึงตลาดหุ้นทั่วโลกให้ฟื้นกลับมาได้ด้วย
โดยตลาดหุ้น A-Shares และตลาดหุ้น H-Shares ได้มีการปรับตัวลดลงมามากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดหุ้น A-Shares ที่มีมูลค่าตลาดย้อนหลัง 5 ปี ลดลงมาค่อนข้างต่ำมากหากอยากมองหาโอกาสลงทุนหุ้นคุณภาพดีของจีน ผมแนะนำให้ลองเข้าไปดูข้อมูลหุ้นที่วิเคราะห์ไว้ให้แล้วในเว็บไซต์ jitta.com ได้ฟรีนะครับ
ส่วนตลาดหุ้น H-Shares ที่ส่วนใหญ่จะมีหุ้นเทคโนโลยีจดทะเบียนอยู่มาก เมื่อปลายปีที่แล้วคณะกรรมการกำกับดูแลบัญชีบริษัทมหาชนของสหรัฐฯ (PCAOB) ระบุว่า หน่วยงานสามารถเข้าถึงและตรวจสอบข้อมูลทางบัญชีของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แล้ว ช่วยลดแรงกดดันเรื่องการเพิกถอนบริษัทจีนออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ADRs Delisting) ก็ทำให้หุ้นบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายแห่งมีโอกาสที่จะฟื้นตัวกลับมาได้ในระยะข้างหน้า แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังต้องระมัดระวังความเสี่ยงในประเด็นการกีดกันด้านเทคโนโลยีที่ยังยืดเยื้อและพร้อมปะทุหากมีปมขัดแย้ง 2 มหาอำนาจ ‘สหรัฐฯ-จีน’ ปะทุขึ้นเป็นระลอก
ในปีนี้ผมก็หวังว่าทุกคนจะตั้งหลักลงทุนได้นะครับ แต่อย่าลืมนะครับว่า การโฟกัสไปที่การลงทุนตาม ‘หลักการ’ อย่างถูกต้อง เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ ‘ดี’ ในระยะยาว จะช่วยให้คุณพัฒนาตัวเองได้มากกว่าการรีบเร่งทำผลตอบแทนในระยะสั้นๆ ให้ ‘ดีเลิศ’ เพราะฉะนั้นผมฉายภาพจิ๊กซอว์จีนเปิดประเทศแล้ว คุณก็ต้องทำการบ้านเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วยตัวเองนะครับ
เพราะผลลัพธ์ของการลงทุนมีปัจจัยที่ควบคุมเกิดขึ้นได้เสมอ สิ่งที่คุณจะทำได้คือการทำสิ่งที่ควบคุมได้ให้ดีที่สุดคือ การลงทุนตามหลักการที่ถูกพิสูจน์มาแล้วด้วยนักลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนมายาวนาน
แน่นอนว่าทุกคนก็อยากเห็นตลาดหุ้นกลับตัวเป็นขาขึ้นในเร็ววันเหมือนกัน คงไม่มีใครอยากเห็นพอร์ตขาดทุนตัวแดงไปนานๆ ขอให้โชคดีในการลงทุน พอร์ตปังๆ สุขสันต์วันตรุษจีน เฮงๆ รวยๆ ครับ