สโมสรฟุตบอลเชลซี คว้าแชมป์เอฟเอคัพสมัยที่ 8 ของสโมสรไปครองได้สำเร็จ หลังเอเดน อาซาร์ ซัดจุดโทษประตูโทนคว่ำแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ 1-0 โดยเป็นโทรฟีแชมป์ที่ 2 ในการคุมทีมปีที่ 2 ของอันโตนิโอ คอนเต ท่ามกลางอนาคตของเจ้าตัวที่ยังคลุมเครือ
กว่า 737 ทีมและการห้ำหั่นที่ยาวนาน 9 เดือนเต็ม ในที่สุดก็ได้สองทีมผู้ท้าชิงแชมป์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ‘เอฟเอคัพ’ (147 ปี) โดยวันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศอังกฤษ สโมสรฟุตบอลเชลซีได้ลงดวลศึกกับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลเอฟเอคัพ ฤดูกาล 2017/2018 ที่สนามฟุตบอลเวมบลีย์
เริ่มต้นเกมครึ่งแรกได้เพียง 20 นาที เรดเดวิลส์ต้องมาเสียจุดโทษจากจังหวะที่เอเดน อาซาร์ เลี้ยงบอลหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนถูกฟิล โจนส์ เข้ามาสกัดรวบล้มลงไปกองกับพื้น และเป็นปีกพ่อมดชาวเบลเยียมที่ลุกขึ้นมาสังหารด้วยความเยือกเย็นให้เชลซีออกนำไปก่อน 1-0
รูปเกมตลอด 70 นาทีที่เหลือ แม้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะครองบอลและได้บุกเยอะกว่า 67% ต่อ 33% แต่กลับไม่สามารถปิดบัญชีหรือทำอันตรายทีมดังจากลอนดอนได้เลย จบเกม 90 นาที เชลซีคว้าแชมป์เอฟเอคัพสมัยที่ 8 ของสโมสรจากการเข้าชิงทั้งหมด 13 ครั้งได้เป็นผลสำเร็จ
แชมป์เอฟเอคัพสมัยที่ 8 ของเชลซียังส่งผลให้อันโตนิโอ คอนเต กุนซือชาวอิตาเลียน วัย 48 ปี คว้าแชมป์โทรฟีได้เป็นถ้วยที่ 2 ในการคุมทีมปีที่ 2 ของเขากับสโมสร ท่ามกลางอนาคตที่ยังคลุมเครือของเจ้าตัว หลังฤดูกาลที่ผ่านมาทำผลงานในลีกได้ไม่สู้ดีนัก จบในอันดับที่ 5 เก็บได้ 70 แต้ม หมดสิทธิ์คว้าตั๋วไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
หลังจบเกม อาซาร์ ในฐานะผู้ทำประตูชัยให้สัมภาษณ์ว่า “พวกเราพยายามจะเล่นเกมรับให้ดี พวกเราก็เก็บคลีนชีตและยิงได้ 1 ประตู มันเพียงพอแล้วล่ะสำหรับวันนี้ แต่ถ้าเราอยากจะชนะให้ได้หลายๆ เกม เราจำเป็นจะต้องเล่นให้ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้ผมมีความสุขที่ได้เห็นแฟนๆ ฉลองกัน พวกเราไม่ได้มีฤดูกาลที่ดีนัก แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็ปิดซีซันด้วยการคว้าแชมป์ได้สำเร็จ”
ขณะที่อันโตนิโอ คอนเต เปิดใจหลังพาทีมคว้าแชมป์ว่าตนพอใจกับชัยชนะในครั้งนี้มากๆ และมีความสุขที่นักเตะในทีมและแฟนบอลได้ร่วมกันฝ่าฟันคว้าแชมป์เอฟเอคัพ “เมื่อคุณเคยคว้าแชมป์ลีกได้ทุกฤดูกาล อย่าลืมนะว่าผมเคยคว้าแชมป์ได้ทุกฤดูกาล พอฤดูกาลนี้จบไม่ดีนัก มันก็สร้างปัญหาให้คุณได้
“เมื่อคุณมีฤดูกาลแบบนี้ มันเลยมีช่วงเวลาให้คุณได้ตั้งคำถามกับตัวเองหลายต่อหลายหน แต่ผมคิดว่าในฤดูกาลที่ยากลำบากเช่นนี้ ผมได้แสดงให้เห็นแล้วว่าผมเป็นผู้ชนะต่อเนื่อง นี่คือข้อเท็จจริง การชนะส่งท้ายในฤดูกาลนี้ย่อมทำให้ผมรู้สึกพึงพอใจกว่าชัยชนะหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาของผม”
ส่วนผู้แพ้ โฆเซ มูรินโญ ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมว่า “ผมไปแสดงความยินดีให้กับพวกเขา เพราะพวกเขาชนะ ผมเป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และผมต้องเคารพพวกเขา ไม่ใช่เพราะว่านั่นคือสโมสรเก่าของผม แต่เพราะพวกเขาคือคู่แข่งที่คว้าแชมป์ได้ในวันนี้
“แต่ผมไม่คิดว่าพวกเขาเหมาะสมจะเป็นผู้คว้าชัยหรอกนะ ผมคิดว่าพวกเราต่างหากที่ควรจะชนะ ผมค่อนข้างสงสัยใคร่อยากรู้ว่าพวกคุณ (นักข่าว) จะพูดหรือเขียนว่าอย่างไร เพราะว่าถ้าทีมของผมเล่นเหมือนที่เชลซีเล่นในวันนี้ล่ะก็ (เน้นเล่นเกมรับ) ผมจินตนาการได้เลยล่ะว่าผู้คนจะว่าผมว่าอะไร
“มันค่อนข้างเป็นเกมที่ยากสำหรับเราที่ต้องลงเล่นโดยไม่มีลูกากู กับทีมที่เล่นเกมรับด้วยผู้เล่นถึง 9 คน ทุกๆ ความพ่ายแพ้ย่อมเจ็บปวดเสมอ แต่วันนี้ผมคิดว่าตัวเองจะกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ว่าพวกเราได้ทุ่มเทไปทุกๆ อย่างแล้ว ไม่มีอะไรต้องเสียใจ”
หลังจากนี้ทั้งเชลซีและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะรูดม่านปิดฤดูกาล 2017/2018 อย่างเป็นทางการ ขณะที่ทีมร่วมลีกอย่างลิเวอร์พูลยังมีคิวต้องลงเล่นนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกกับเรอัล มาดริด ในคืนวันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคมนี้ เวลา 1.45 น. เพื่อทำสถิติลุ้นคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ของสโมสร หลังทีมจากอังกฤษห่างหายจากการเป็นแชมป์รายการนี้มาแล้วถึง 7 ปีเต็ม (เชลซีเป็นสโมสรจากอังกฤษทีมล่าสุดที่คว้าแชมป์ได้ในฤดูกาล 2011/2012) ขณะที่โลส บลังโกส ก็มีลุ้น คว้าแชมป์สมัยที่ 13 สมัยเช่นกัน
Photo: LEE SMITH / REUTERS
อ้างอิง: