วันนี้ (16 กุมภาพันธ์) ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติ โดยมี ศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาคนที่ 2 เป็นประธาน
สมคิด เชื้อคง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดอุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 กรณีพฤติกรรมที่ส่อทุจริตประพฤติไม่ชอบของผู้บริหารสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ได้ปฏิบัติหรือดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา โดยนโยบายเร่งด่วนเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562
สมคิดกล่าวถึงหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราบปรามการทุจริต ที่มี พล.อ. ประยุทธ์เป็นผู้กำกับดูแลตามกฎหมายโดยตรง ให้เป็นหน่วยงานที่เข้ามาแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างจริงจังและเข้มงวด แต่กลับใช้อำนาจมาตรา 44 ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แทรกแซงโอนย้ายข้าราชการตำรวจนายหนึ่งขึ้นมาเป็นเลขาธิการ ปปง. คือ พล.ต.อ. ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2559
“ใครๆ ก็รู้ว่าตำรวจนายนี้สนิทสนมกับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองใหญ่รายหนึ่ง คำสั่งดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาภายใน” สมคิดกล่าว
คำสั่งดังกล่าวเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้กฎหมายปกติ และใช้อำนาจพิเศษแต่งตั้งคนของตนเองเข้ามาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. โดยไม่ต้องมีการสรรหา ถัดมาในปี 2560 พล.อ. ประยุทธ์ได้มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 38/2560 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2560 คำสั่งดังกล่าวเสมือนเป็นคำสั่งให้เหลือกรรมการ ปปง. ผู้ทรงคุณวุฒิจากเดิม 6 คน เหลือเพียง 4 คน
สมคิดกล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์จงใจใช้อำนาจแทรกแซงการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงในสำนักงาน ปปง. โดยมีเจตนาให้เกิดการสืบทอดอำนาจพิเศษแก่บุคคลให้เครือข่ายของตน ด้วยการแต่งตั้งบุคคลในเครือข่ายของตนให้ดำรงตำแหน่งต่อเนื่องไม่เว้นช่วงระยะเวลา
นอกจากนี้ในการคัดเลือกผู้เหมาะสมดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. ดังกล่าว ยังมีความผิดปกติที่จงใจไม่ประกาศเชิญชวนให้บุคคลภายนอกหน่วยงานสมัครเข้ารับคัดเลือก เช่นเดียวกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น สำนักงาน ป.ป.ท., สำนักงาน คปภ, สำนักงาน ป.ป.ช. หรือสำนักงาน กกต.
สมคิดกล่าวว่า การใช้อำนาจเข้าไปแทรกแซงการแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงาน ปปง. ของ พล.อ. ประยุทธ์ เพื่อให้คนสนิทของตนเองเข้าไปควบคุมหน่วยงานดังกล่าว และอาศัยเป็นเครื่องมือเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนและพวกพ้องของตนเองให้เกิดการผูกขาดทั้งทางตรงและทางอ้อม และใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง หรือกลุ่มทุนที่เป็นคู่แข่งกับกลุ่มทุนในเครือข่ายของพวกพ้องตน
แต่หากบุคคลใดที่ พล.อ. ประยุทธ์จะเป็นผู้แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในสำนักงาน ปปง. แต่หากไม่ตอบสนองนโยบายก็จะใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ปลดออกจากตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. ทั้งที่ทำงานได้เพียง 46 วัน
“บุคคลที่ พล.อ. ประยุทธ์แต่งตั้งให้เข้ามาดำรงตำแหน่งในสำนักงาน ปปง. นับตั้งแต่ปี 2559 เรื่อยมา จนสามารถควบคุมสั่งการในสำนักงาน ปปง. ได้ทั้งหมด ทำให้กลุ่มบุคคลในเครือข่ายของ พล.อ. ประยุทธ์เหิมเกริม เพราะคิดว่าผู้บริหารระดับสูงในสำนักงาน ปปง. เป็นพรรคพวกเดียวกันทั้งหมด และไม่มีผู้ใดสามารถตรวจสอบได้ และเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์และมีความสนิทสนมกับกลุ่มผู้กระทำความผิดในมูลฐานฟอกเงิน” สมคิดกล่าว
นอกจากนี้ กลุ่มบุคคลในเครือข่ายที่ พล.อ. ประยุทธ์เป็นผู้แต่งตั้งให้มาดำรงตำแหน่ง ยังถูกร้องเรียนเรื่องการทุจริต และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมของกลุ่มบุคคลดังกล่าวหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับการเรียกรับสินบนในคดีพนันออนไลน์ และในคดีฟอกเงินของทุนจีนสีเทาที่ปรากฏเป็นข่าว โดยใช้สำนักงาน ปปง. ชั้น 3 เป็นสถานที่เรียกรับสินบนในคดีต่างๆ และใช้เป็นสถานบันเทิง ดื่มเหล้า-ไวน์กับผู้ต้องหาในคดีพนันออนไลน์ด้วย
สมคิดกล่าวด้วยว่า จากข้อมูลที่ตนได้อภิปรายแสดงให้เห็นว่า พล.อ. ประยุทธ์ไม่ได้มีความจริงใจที่จะปฏิบัติตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พฤติกรรมของ พล.อ. ประยุทธ์เป็นไปในทำนองพูดอย่างทำอย่าง เห็นแก่ประโยชน์พวกพ้อง ป่าวประกาศในสถานที่ต่างๆ ว่า ‘ตนเองไม่ทุจริต’ แต่ปล่อยพวกพ้องคนสนิททุจริตเสียเอง