ดีลกันไม่ลงตัวเป็นเหตุทำให้เจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ Burger King ในมิชิแกน เตรียมปิดสาขา 26 แห่ง อ้างไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขการทำธุรกิจฉบับใหม่ของฟาสต์ฟู้ดรายใหญ่ได้ ทำให้พนักงานตกงานทันที 424 คน
เมื่อไม่นานมานี้จะเห็นว่าธุรกิจร้านอาหารในต่างประเทศเริ่มประกาศปิดสาขากันมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ Burger King เชนร้านเบอร์เกอร์ชื่อดัง เตรียมปิดสาขา 26 แห่ง ในมิชิแกน ภายในกลางเดือนเมษายนนี้ แน่นอนว่าทำให้พนักงานจำนวน 424 คน ตกงานทันที
สาเหตุหลักเกิดจาก EYM King of Michigan ซึ่งเป็นผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ ไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขการทำธุรกิจฉบับใหม่กับบริษัทฟาสต์ฟู้ดอย่าง Burger King ได้ ซึ่งสาขาที่ปิดไปอาจจะมีแฟรนไชส์รายอื่นเข้าไปบริหารต่อในอนาคต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- รีแบรนด์ใหญ่รอบ 20 ปี! Burger King ยกเครื่องใหม่ตั้งแต่โลโก้ ชุดพนักงาน คุมโทนให้เหมือนยุค 70
- ครั้งแรกในไทยกับ ‘เบอร์เกอร์ช็อกโกแลต’ เมนูสุดครีเอตที่รวมเอาของคาวและของหวานมาไว้ด้วยกันจาก ‘Burger King’
- อั้นไม่ไหว! McDonald’s ในญี่ปุ่น ขอปรับราคารอบ 2 ทำ ‘เบอร์เกอร์-ชุดเมนูสุดคุ้ม’ ขึ้นกว่า 80% รับต้นทุนพุ่งไม่หยุด
อาจเป็นไปได้ว่าการปิดร้านของ Burger King ในรัฐมิชิแกน เกิดขึ้นหลังจาก Restaurant Brands International เข้ามาเป็นเจ้าของ โดยในเดือนกันยายน 2022 ที่ผ่านมา บริษัทได้วางงบลงทุนประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้รีแบรนด์ทั้งการเปลี่ยนโลโก้ บรรจุภัณฑ์ และยูนิฟอร์ม ควบคู่กับการปรับภาพลักษณ์ร้าน 800 สาขาในสหรัฐอเมริกา ภายใน 2 ปีข้างหน้า และยังเตรียมเพิ่มงบอีก 30 ล้านดอลลาร์ เข้ามาใช้ในแผนฟื้นฟูองค์กรที่ทำมาต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
ถึงกระนั้นในเดือนมกราคม หนึ่งในแฟรนไชส์ที่ใหญ่ที่สุดของ Burger King ในสหรัฐฯ ที่ดำเนินธุรกิจร้านอาหารกว่า 90 แห่ง ได้ยื่นขอล้มละลาย โดยอ้างเหตุผลว่าเงินเฟ้อทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
หากย้อนไปในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Burger King ได้แต่งตั้ง Joshua Kobza ขึ้นเป็นซีอีโอคนใหม่ แทนที่ Jose Cil ที่ดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2019 พร้อมได้รับโจทย์ใหญ่เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ เป็นปัจจัยทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่าย
Joshua Kobza ซีอีโอคนใหม่ กล่าวว่า เราพร้อมปรับโครงสร้างใหม่ เพื่อช่วยผลักดันให้แฟรนไชส์มีการเติบโตต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับเชนร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดอื่นๆ ในเมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการขนส่ง แรงงาน และวัตถุดิบที่สูงขึ้น ทำให้ต้องตัดสินใจขึ้นราคาอาหารในปีที่ผ่านมา
อ้างอิง: