×

บอส-นฤเบศ กูโน และแตง-ภัทรนาถ พิบูลย์สวัสดิ์ ดูโอคู่บุญผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของละครน้ำดี ‘Side by Side พี่น้องลูกขนไก่’

18.11.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

10 MINS READ
  • ผู้กำกับหน้าใหม่ไฟแรง บอส-นฤเบศ กูโน และผู้เขียนบท แตง-ภัทรนาถ พิบูลย์สวัสดิ์ เป็นสองบัณฑิตจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่อยู่เบื้องหลังซีรีส์ที่มีกระแสตอบรับดีที่สุดใน Project S The Series อย่าง Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ ที่คว้าละครยอดเยี่ยมแห่งปี 2560 จากเวทีนาฏราช

ถ้าพูดถึงซีรีส์ที่มีกระแสตอบรับดีที่สุดใน Project S The Series ก็ต้องนึกถึง Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ ซึ่งเป็นละครยอดเยี่ยมแห่งปีจากเวทีนาฏราชที่อำนวยการสร้างโดย GDH และนาดาว บางกอก ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จของเรื่องนี้ต้องยกให้ผู้กำกับหน้าใหม่ไฟแรงอย่าง บอส-นฤเบศ กูโน และทีมเขียนบทอย่าง แตง-ภัทรนาถ พิบูลย์สวัสดิ์องบัณฑิตจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ THE STANDARD POP อยากแนะนำให้รู้จัก เพราะตอนนี้ทั้งคู่เป็นบุคคลเบื้องหลังที่กำลังเปล่งประกายจากละครน้ำดีเรื่องนี้

 

เริ่มต้นเส้นทางสายนี้ได้อย่างไร

บอส: ตั้งแต่เด็กๆ ก็อยากเป็นผู้กำกับแล้ว เพราะที่บ้านเปิดร้านเช่าวิดีโอ เราชอบดูหนังจีน ชอบให้เพื่อนๆ เล่นละครพรีเซนต์หน้าห้องเรียน พอรู้ตัวว่าอยากทำอะไรก็เข้าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับละครนิเทศจุฬาฯ จากนั้นก็เจอพี่ปิง (เกรียงไกร วชิรธรรมพร) จน Hormones วัยว้าวุ่น ซีซัน 2 เริ่มออกอากาศ บอสเองเป็นแฟนเรื่องนี้อยู่แล้ว ซึ่งเราเกลียดตัวละครอย่างขนมปังมาก เลยทักพี่ปิงไป บอกว่าไม่ชอบขนมปัง พี่ปิงก็ถามกลับมาว่า อ้าว ทำไมล่ะ คุยไปคุยมาก็นัดหมายว่าเรามาเจอกันหน่อย

 

อ้าว ฉิบหายแล้ว นัดไปทำไมเหรอ พอไปถึงพี่ปิงก็ถามว่าเราสนใจเขียนบทไหม จุดเริ่มต้นแค่นี้เลยที่ทำให้ได้เป็นคนเขียนบท Hormones ซีซัน 3 จากนั้นก็ได้มาเป็น Co-director ของ Hormones ซีซัน 3 ตอนนั้นแตงอยู่ปี 3 ขึ้นปี 4 ยังไม่ได้สนิทกัน แต่รู้ว่าแตงเก่งมาก เลยไลน์ไปหาแตงว่า แตง สอนพี่หน่อย กลายเป็นว่าแตงเป็นครูสอนบอสตั้งแต่ตอนเรียน จนกระทั่งค่อยๆ พัฒนาแล้วไปอยู่กับพี่ย้ง (ทรงยศ สุขมากอนันต์) มีโอกาสได้เขียนบทเรื่อง I Hate You I Love You และเป็น Co-director อีกเรื่อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มี Project S The Series

 

แตง: คือตอนเด็กๆ เราก็ยังไม่มั่นใจเรื่องการเป็นผู้กำกับ แต่รู้ว่าชอบวงการนี้แหละ เพราะชอบอ่านนิยาย ชอบแสดงละคร เลยมาเข้าเรียนที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเลือกเรียนสาขาภาพยนตร์ แล้วก็อย่างที่พี่บอสเล่า พี่บอสนี่แหละมาทักว่า แตง แตกช็อตคืออะไร แกนกล้องคืออะไร เราก็สอนเท่าที่รู้ไป พอเรียนจบแล้วพี่บอสได้ทำ Side by Side เขาก็ทักมาอีก แตง ปีหน้าพี่จะมีซีรีส์เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับแบดมิดตัน มาช่วยกันนะ เราโอเคทันที พอจบปี 4 พี่บอสก็รับมาเขียนบท ทีนี้ก็สลับกัน กลายเป็นพี่บอสมาสอนเขียนบท หลังจากที่เราเคยไปสอนกล้องพี่บอส

 

จุดเริ่มต้นของ Project S The Series

เจ้าของโปรเจกต์คือพี่ปิงกับพี่ย้งที่เป็นโปรดิวเซอร์ เริ่มจากพี่ย้งอยากทำซีรีส์กีฬา เลยคิดว่าจะเริ่มปั้นโปรเจกต์นี้ขึ้นมาได้ยังไงดี เขาคิดได้ว่าถึงเวลาที่จะต้องเริ่มปั้นผู้กำกับหน้าใหม่ เลยเอาทีมเขียนบทกับทีมงาน Hormornes มาลองดู ดึงที่ว่าน่าจะกำกับได้ 4 คนให้เลือกทำกีฬาที่ตัวเองชอบ พอโจทย์คือซีรีส์กีฬาและวัยรุ่น เราเลยถามตัวเองว่าเราชอบกีฬาอะไร อ้าว ฉิบหายแล้ว เราเป็นคนไม่เล่นกีฬาอะไรเลยสักนิดเดียว มีอยู่อย่างเดียวที่นึกได้เลยคือตีแบดกับแม่หน้าบ้าน เอ๊ะ หรือเราจะเอาสิ่งนี้แหละ เพราะมันก็แมสนะ คนทุกวัยมันเล่นแบดได้ แล้วรู้สึกว่าประเด็นแม่ลูกเล่นกันมันดูใหม่ดี ก็เลยชวนแตงซึ่งเป็นคู่บุญมาร่วมงาน

 

ที่ผ่านมาเจออุปสรรคในการทำงานบ้างไหม

บอส: ที่ผ่านมาอยู่ด้วยกันสองคน คิดบทไม่ออกด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน การกินข้าวไข่เจียวที่เดอะสตรีทคือมื้อประจำวัน โมเมนต์ของการนั่งคิดบทกันอยู่สองคนแล้วคิดไม่ออกมันแย่มาก แต่ถ้ามองย้อนไป มันเป็นโมเมนต์ที่ดีเหมือนกัน มันโตขึ้นอีกสเตป ได้เห็นข้อบกพร่องว่า เฮ้ย จริงๆ ตรงจุดนั้นน่ะ คิดไปอีกนิดหนึ่งก็ได้แล้ว รีบไปต่อเลย ไม่ต้องไปตกตะกอนมัน เช่น ประเด็นที่คิดไม่ออกอย่างแม่คิดยังไงกับลูก เด็กออทิสติกคิดยังไงกับแม่ เราไม่เคยเป็นออทิสติก แล้วเราก็ไม่เคยเป็นแม่ แล้วจะมานั่งถกเถียงโดยที่ไม่รู้ว่าข้อสรุปมันคืออะไรทำไม สุดท้ายจบที่โทรหาแม่ตัวเอง

 

แตง: พอเราสองคนไม่มีประสบการณ์ชีวิตตรงนั้นเลยต้องแก้ด้วยการเติมอะไรบางอย่าง เช่น โทรหาแม่ โทรหาป้า ซึ่งมันดีนะ เป็นการเติมประสบการณ์ของคนอื่นเอามาใส่ในตัวเรา สุดท้ายแล้วประเด็นที่เราไม่ได้อินหรือไม่มีประสบการณ์ เราก็เอามากองกันอยู่บนโต๊ะเยอะๆ เพื่อเป็นข้อมูล เราก็จะเลือกในจุดที่เราสองคนอินที่สุด เฮ้ย ตรงนี้เราไปแตะแล้ว เราไปถึง เราทำถึง ก็เลยทำ

 

แสดงว่าตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่กดดันตัวเองสูงมาก  

บอส: ร้องไห้เยอะมาก เพราะมันเป็นความคาดหวังส่วนตัว เป็นงานกำกับเรื่องแรก เราอยากทำออกมาให้ดี เครียดมาก กดดันมาก พอกดดันมากก็จะไปกดดันแตง ซึ่งแตงก็เขียนบทเรื่องแรก แต่จริงๆ แล้วพอกดดันมันก็ทำให้มีพลัง บางวันก็บอกว่า เออ ไม่ต้องเครียดมากก็ได้ เขียนบทได้ประมาณหนึ่ง ผ่านไป 2 ชั่วโมงก็ยังไม่ได้ (พูดพร้อมกัน) แบบนี้มันไม่พอ แกจะทำให้ทุกอย่างเสียเวลาเปล่าๆ ไปได้ยังไง 2-3 เดือน มันต้องดีที่สุด ก็กลับมาเครียดเหมือนเดิม  

 

แตง: มันดีตรงที่เราไม่พยายามไปลดมาตรฐานว่าเราเพิ่งทำครั้งแรก ได้แค่นี้ก็พอแล้ว ห้ามคิดแบบนี้เลย พี่บอสจะบอกว่าเอาให้สุด ยิงมาตรฐานขึ้นแล้ววิ่งไปให้ได้ เครียดมากจนต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อให้ยา พยายามผ่อนคลายแล้วด้วย แต่ทำไม่เป็น ช่างมัน ไปให้สุดแล้วกัน

แรงผลักดันเวลาเจอปัญหาของพวกคุณเป็นอย่างไร

บอส: เอาจริงๆ นะ รางวัลนาฏราชถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน ในวันที่ท้อจะบอกตัวเองว่า แตง รางวัลนาฏราชรอเราอยู่ บิลด์ไปเรื่อย พูดไปเรื่อย คือบางทีก็เหนื่อยจนเราเห็นหน้าว่าไม่ไหวแล้ว มันนอนดึก การทำเรื่องแบดมินตันมันมีมุมยากของมันอยู่แล้ว นักแสดงจะเล่นได้ไหม เหมือนมีปัญหารออยู่ที่ปลายทางเต็มไปหมด แต่เราก็รู้ว่ามันดีแน่ๆ เลยมีแรงทำ พอเรารู้สึกว่าถ้าแบดมินตันออกไปมันจะดี เสริมกับอีกเรื่องคือเรื่องออทิสติก ตอนแรกทำไปก็คุยกันเองกับแตงว่ามันยากไปหรือเปล่าวะ เราก็ไม่ได้รู้ลึกว่าออทิสติกคืออะไร ไม่ได้อินตั้งแต่เริ่ม แต่รู้ว่ามันจะดี พอทำไปทำมาก็ยิ่งอิน ยิ่งรู้สึกว่าดีมาก ประเด็นนี้ดีมาก มีประโยชน์มาก ยิ่งเติมเต็มความรู้สึกว่ามันเป็นพลังให้ทำได้ทุกวันๆ

 

แตง: ที่สำคัญเลยคือเรารู้ว่าทำมันไปเพื่ออะไร กำลังเล่าอะไรอยู่ เช่น ครอบครัว ออทิสติก เรารู้สึกว่าถ้าเขียนออกไปแล้วมันเป็นประโยชน์แน่ๆ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อยากทำให้ถึง ตอนนั้นก็จะคุยกันว่าเรื่องดีๆ อย่างผู้หญิงสองคนมีผัวคนเดียวกันแล้วมาเป็นครอบครัวเดียวกัน เราอยากพูดว่าไม่ว่าเหตุการณ์ในชีวิตจะเลวร้ายขนาดไหน ทุกอย่างมันให้อภัยได้ ทุกอย่างมันก้าวต่อไปได้ เราเลยทำเรื่องนี้ออกมาเป็นตัวอย่าง มีผัวคนเดียวกันไม่จำเป็นต้องตบตีกันก็ได้ มันดีลกันได้ มันจะดูแลกันอย่างไรให้สำเร็จ ฉีกมาจากแบบเดิมๆ แล้วใส่ทัศนคติใหม่

 

พี่บอสจะพูดบ่อยๆ ว่าให้สร้างทัศนคติใหม่ ทุกคนในเรื่องนี้เป็นเด็กดี เราไม่ต้องมีคอนฟลิกต์จากความอิจฉาก็ได้ คอนฟลิกต์เกิดขึ้นเพราะว่าคนดีทุกคนอยู่ด้วยกันจนเกิดจากความหวังดีก็ได้ เราอยากพูดเรื่องนี้ สิ่งที่เหนือกว่ารางวัลคือคนดู จังหวะที่ได้นาฏราชนี่น้ำตาคลอนะ แต่ยังจำโมเมนต์ได้ว่าจังหวะที่คนดูชอบ โห น้ำตาไหล ร้องไห้ นั่งแคปทวิตเตอร์ นั่นแหละที่พี่บอสเคยบอกว่า จำไว้ว่าวันที่ละครออกอากาศ รีแอ็กของคนดูจะเป็นรางวัลของแก

 

 

มันจะไม่มีคำว่า ‘ประมาณนี้แล้วกัน’

แตง: จะมีสิ่งหนึ่งที่บอกต่อกันมาจากพี่ย้งสู่พี่บอส นั่นคืออย่าหยุดทำสิ่งที่ดีที่สุดถ้าเรายังมีเวลา มันจะไม่มีคำว่า ‘ประมาณนี้แล้วกัน’ คือเราจะไม่พูดคำนี้ออกมา แต่สิ่งที่เราจะพูดกันบ่อยๆ คือ ‘นี่ดีหรือยัง นี่สุดหรือยัง มันยังดีได้กว่านี้อีกไหม’ คือเราจะฝึกตั้งคำถามให้มันดึงมาตรฐานตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ห้ามพอดี ห้ามตกลง ห้ามกดลง มันฝึกให้เราต้องกลับไปเป็นคนที่ ‘พยายามที่จะพยายามมากขึ้น’ มันไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้ด้วยนะ เราจะไม่ชอบพูดคำว่าอันนี้เป็นไปไม่ได้ อันนี้ทำไม่ได้ คือมันจะเป็นไปไม่ได้ได้ยังไง

 

บอส: เคยมีประสบการณ์หนึ่งตอนเขียน Side by Side มันมีสิ่งที่อยากได้อยู่ประมาณ 8-9 อย่าง เราอยากให้นักแสดงเป็นอย่างนี้ อยากให้ซีนเป็นแบบนี้ แต่เรานำมันมาประกอบไม่ได้ จนมีวันหนึ่งที่เลิก ท้อแท้ เอาประมาณนี้แล้วกัน เอา 4-5 อย่างแล้วกัน สุดท้ายพอเราทำไปก็มานั่งคุยกันว่า เฮ้ย มันต้องได้สิ ถ้าเราอยากทำ ทำไมมันจะไม่ได้ มันต้องได้ สุดท้ายแล้วมันก็วกกลับไปที่ความพยายาม ถ้าเราอยากได้มันต้องได้ แล้วสุดท้ายมันออกมาได้จริงๆ

 

วงการผู้กำกับถือว่ายากไหม

บอส: จริงๆ ยุคนี้เป็นยุคที่ใครก็สามารถทำคอนเทนต์ของตัวเองได้หมดเลย ไม่ว่าจะในอินเทอร์เน็ตหรือตามสถานีช่องต่างๆ การเป็นผู้กำกับมันไม่ยากแล้วในยุคนี้ แต่การที่จะเป็นผู้กำกับที่ดีเราว่าไม่ง่าย แล้วสิ่งนั้นมันไม่มีใครมาบอกเราเลยนอกจากตัวเราเอง ตัวเราต้องมุมานะและมีความพยายามเท่านั้นถึงจะทำให้เราไปถึงเป้าหมาย

 

ฝากถึงวัยเรียนที่อยากเป็นผู้กำกับ

บอส: สิ่งสำคัญที่สุดไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับหรือหน้าที่ใดก็ตาม หัวใจใหญ่ที่สุดคือความพยายาม เรารู้สึกว่าความพยายามเป็นสิ่งแรกที่จะทำให้เราไปถึงจุดเป้าหมาย บอสเคยเป็นเด็กที่เรียนได้เกรด 2 กว่า แต่พอเรามีเป้าหมายชัดเจนว่าอยากเข้านิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ความพยายามมันพาเราให้ทำได้จริงๆ อย่างตอนทำ Side by Side ความพยายามมันก็พาเรามาถึงจุดที่ไม่คาดคิด เป็นจุดที่คนอื่นเขามองเห็นเรา เลยรู้สึกว่าถ้าอยากจะเป็นผู้กำกับหรืออาชีพอะไรก็ตาม อยากจะบอกน้องๆ ว่าลองไปให้เกินลิมิตความพยายามของตัวเองบ้าง

 

แตง: มีเป้าหมายและความพยายาม แต่ความพยายามใช้ไม่ได้กับความรัก

 

บอส: ใช่ ความพยายามใช้ได้กับทุกอย่าง แต่ใช้ไม่ได้กับความรัก จากคนเขียนบทสองคน

 

โปรเจกต์ต่อไปในอนาคตของทั้งสอง  

บอส: ตอนนี้กำลังทำซีรีส์เรื่องใหม่ ทำกันคนละครึ่งเลย เหมือนเป็นความใฝ่ฝันมานานว่าอยากทำหนังรักโรแมนติกแฟนตาซี มีไอเดียว่าอยากเอาเด็กนาดาวมาเล่นคู่กับเซเลบในเมืองไทย เลยชวนแตงมาทำ แพลนออกปีหน้า เดือนพฤศจิกายนนี้จะเปิดกล้องแล้ว มาดูกันว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ก็ใส่สุดเหมือนเดิม

แตง: ใส่สุดไม่มีตก เลิกตีสอง

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising