ราคาบอนด์ทั่วโลกทะยาน! Performance ดีสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินปี 2008 เหตุตลาดเดิมพัน Fed จบรอบขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ด้านศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ฟันธงเศรษฐกิจโลกปีหน้าชะลอตัว คาดพันธบัตรโลกสร้างผลตอบแทนดีกว่าหุ้น 8-15%
ดัชนีพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ทั่วโลกที่จัดทำโดย Bloomberg ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 4.9% ในเดือนพฤศจิกายน นับเป็นการปรับตัวรายเดือนสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงเกิดวิกฤตการเงิน โดยในเวลานั้นดัชนีบอนด์ทั่วโลกของ Bloomberg เพิ่มขึ้นถึง 6.2%
ราคาบอนด์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายนได้รับแรงหนุนมาจากการเดิมพันของตลาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และหลายประเทศทั่วโลกได้จบรอบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว และกำลังจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (28 พฤศจิกายน) ตามเวลาท้องถิ่น Christopher Waller ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่า ระดับดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบัน ‘ดูดี’ แล้ว เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจและการลดลงของอัตราเงินเฟ้อ โดยมุมมองดังกล่าวอาจพิจารณาได้ว่า เป็นการสนับสนุนการคาดการณ์ของตลาด
James Wilson ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโออาวุโสจาก Jamieson Coote Bonds บริษัทผู้จัดการการลงทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนในบอนด์ ระบุว่า “Waller ถูกมองเป็นเจ้าหน้าที่ Fed เหยี่ยว ดังนั้น Waller ที่แสดงท่าทีผ่อนคลายถือเป็นการเคลื่อนไหวที่สำคัญ และดูเหมือนว่า Fed จะจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว”
โดยในวันนี้ (29 พฤศจิกายน) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเกณฑ์อ้างอิง (Benchmark) ของตลาดบอนด์โลก ก็ลดลง 6 bps มาอยู่ที่ 4.26% ขณะที่ Bond Yield อายุ 2 ปีลดลง 7 bps มาอยู่ที่ 4.67%
ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg Show แสดงให้เห็นว่า อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นกู้ภาคเอกชนก็ลดลงเหลือประมาณ 5.3% ในสัปดาห์นี้ หลังจากเพิ่มขึ้นเกือบ 6% ในเดือนตุลาคม ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009
TISCO ฟันธงปี 2024 พันธบัตรสร้างผลตอบแทนดีกว่าหุ้น
ด้านศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกปี 2024 จะโตแบบชะลอตัวเมื่อเทียบกับปี 2023 ผลจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดในรอบหลายทศวรรษ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยยังทรงตัวในระดับสูง แต่ไม่เลวร้ายถึงขั้น ‘เศรษฐกิจถดถอย’ แนะลงทุนพันธบัตรเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน 8-15% ช่วยกระจายความเสี่ยงและลดผลขาดทุนของพอร์ตโดยรวม
คมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวว่า นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2008 ตลาดพันธบัตรอยู่ในภาวะซบเซาและให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดหุ้นมากว่า 15 ปี ถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ ผลจากภาวะดอกเบี้ยต่ำและธนาคารกลางการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษ เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินฝืดและกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวจากภาวะวิกฤต
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้มองว่า ในปี 2024 ตลาดพันธบัตรโลกจะกลับมาให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าตลาดหุ้นอีกครั้ง และจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในปี 2024 โดยคาดว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 8-15% นอกจากนี้ การลงทุนในพันธบัตรโลกโดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงต่ำกว่าตลาดหุ้น และยังช่วยกระจายความเสี่ยงและลดผลขาดทุนของพอร์ตโดยรวมในกรณีที่เศรษฐกิจถดถอยได้อีกด้วย
“ในกรณีฐานปี 2024 คือเศรษฐกิจชะลอตัวแต่ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (Soft Landing) ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ จะอยู่ที่ราว 8% ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในกรณีที่ปี 2024 เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย (Hard Landing) ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรจะเพิ่มขึ้นเป็น 15%” คมศรกล่าว
แม้เศรษฐกิจไทยปี 2024 อาจเติบโตมากกว่าปี 2023 แต่ TISCO ESU ยังให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยคือ คงน้ำหนักการลงทุน หรือ Neutral ยังไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน หรือ Overweight เพราะมูลค่าหุ้นที่ยังแพงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเอเชียโดยรวม และแนวโน้มการเติบโตระยะยาวที่ยังไม่ชัดเจน
อ้างอิง: