×

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ กองทุน Bitcoin เป็นทางเลือกกระจายพอร์ตลงทุน พร้อมเผยแผนขยายเวลาเทรดอีก 30 นาที เริ่มปลายไตรมาสแรก

11.01.2024
  • LOADING...

จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติการจัดตั้งกองทุน Spot Bitcoin Exchange-Traded Funds (ETF) อย่างเป็นทางการเมื่อช่วงเวลาประมาณ 04.30 น. ของวันนี้ (11 มกราคม)

 

ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีความกังวลเกี่ยวกับการซื้อ-ขายและลงทุนใน Bitcoin ในมุมของการดูแลความเสี่ยงของผู้ลงทุน การที่มีกองทุน ETF ออกมาจะทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมั่นคงมากขึ้น ผ่านการประเมินของนักลงทุนสถาบันและการปกป้องสิทธิของรายย่อยที่เพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง 

 

“แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณาคือ ความเสี่ยงเมื่อเทียบกับความคาดหวังของผลตอบแทนว่ามีความเหมาะสมเพียงใด”

 

ด้าน ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า การที่ ก.ล.ต.สหรัฐฯ อนุมัติให้กองทุน ETF ใช้ Bitcoin เป็นสินทรัพย์อ้างอิงได้เป็นสิ่งที่ดีและช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลถูกดึงมาอยู่ภายใต้การกำกับมากขึ้น 

 

“อีกมุมหนึ่งก็เป็นโอกาสของนักลงทุนในการกระจายพอร์ตการลงทุน ที่ผ่านมาจะเห็นว่าราคา Bitcoin มี Correlation กับสินทรัพย์อื่นๆ น้อย” 

 

ขณะเดียวกันการที่มีนักลงทุนสนใจลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ เพิ่มขึ้น ก็เป็นส่วนช่วยดึงคนใหม่ๆ เข้ามาในตลาดทางอ้อมด้วยเช่นกัน อย่างเมื่อปี 2563-2564 ที่นักลงทุนสนใจใน Bitcoin เพิ่มขึ้นอย่างมาก ฝั่งของตลาดหุ้นไทยเองก็มีจำนวนบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นกว่าล้านบัญชีเช่นกัน 

 

พร้อมกันนี้ ศรพลยังได้เปิดเผยถึงภาพรวมของบรรยากาศการลงทุนในปี 2567 โดยกล่าวว่า ปี 2567 มีโอกาสที่เงินลงทุนจะเคลื่อนย้ายมาตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย ค่อนข้างมาก สังเกตจากเงินบาทที่มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าในระยะปานกลาง ประกอบกับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้สูงกว่าคาดตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว การส่งออก และการบริโภคภายในประเทศ 

 

นอกจากนี้นักวิเคราะห์ปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) และ Forward P/E ในปี 2567 ของ SET ไปยังจุดที่มีความน่าสนใจในการลงทุนมากขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ขณะที่มีหลายกลุ่มอุตสาหกรรมใน SET ที่มีคาดการณ์ EPS Growth สูง แต่มี Valuation ที่ยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต

 

ข้อมูลจาก Bloomberg Consensus ระบุว่า แนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยปีนี้น่าจะเติบโตได้ราว 10-20% ในขณะที่ P/E ของตลาดโดยรวมลดลง หมายความว่า คุณภาพของดีขึ้น แต่ของกำลังลดราคา

 

อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องติดตาม 4 ด้าน ได้แก่ 

 

  1. วัฏจักรเศรษฐกิจโลก ซึ่งปัจจุบันหลายฝ่ายประเมินว่าจะไม่เกิด Hard Landing 
  2. อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ ปัจจุบันนักลงทุนยังคาดหวังว่า Fed จะลดดอกเบี้ยมากกว่าที่เคยส่งสัญญาณออกมา
  3. ภูมิรัฐศาสตร์ นอกจากสงครามที่ปะทุอยู่ในปัจจุบัน จะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเพิ่มเติมหรือไม่ และปีนี้จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 
  4. ความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ

 

ตลาดเผย เริ่มขยายเวลาเทรดอีก 30 นาที ปลายไตรมาสแรก

 

รองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมาย และดูแลกลุ่มงานเลขานุการองค์กรและกำกับองค์กร เปิดเผยว่า การขยายเวลาซื้อ-ขายหลักทรัพย์ในช่วงบ่าย ซึ่งจากเดิมที่เริ่มเปิดตลาดภาคบ่ายเวลา 14.30 น. จะขยับมาเร็วขึ้นอีก 30 นาที เป็นเวลา 14.00 น. ทำให้เวลาของการซื้อ-ขายหลักทรัพย์แต่ละวันจะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 4.30 ชั่วโมง เป็น 5 ชั่วโมง โดยจะเริ่มปรับเวลาภายในปลายไตรมาสแรกหรือช่วงต้นไตรมาส 2

 

นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์เตรียมที่จะปรับปรุงรายละเอียดการขึ้นเครื่องหมาย C หรือ Caution สำหรับบางหลักทรัพย์ โดยการขึ้นเครื่องหมาย C จะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท โดยจะเริ่มใช้ภายในไตรมาส 2 นี้ 

 

หมายเหตุ: 

  • CB เป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับธุรกิจ เช่น ส่วนของผู้ถือหุ้นน้อย, รายได้น้อย, ขาดทุนติดต่อกัน หรือผิดนัดชำระหนี้
  • CS เป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับงบการเงิน เช่น ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็น หรือสำนักงาน ก.ล.ต. สั่ง Special Audit 
  • CF เป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับสัดส่วนของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) 
  • CC เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับกรณีที่บริษัทมีส่วนที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น การเป็น Cash Company หรือเป็น Investment Company ที่ไม่ได้มีธุรกิจหลักของตัวเอง
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising