เอเซีย พลัส จัดพอร์ตลงทุนเดือนธันวาคม รับมือสัญญาณ Recession ที่ชัดเจนมากขึ้นทั่วโลก แนะลุยหุ้นกลุ่ม Domestic Consumption ดักอานิสงส์เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีกว่าเศรษฐกิจโลก
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส หรือ ASPS เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนในเดือนธันวาคม 2565 ว่า แรงกดดันตลาดการเงินโลกดูผ่อนคลายลงมาระดับหนึ่ง เริ่มจาก
- เงินเฟ้อหลายประเทศเริ่มแผ่วลง เงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอลงติดต่อกัน 4 เดือน และไทยชะลอลงมา 2 เดือนติด และฝ่ายวิจัยคาดมีแนวโน้มลดลงจนอยู่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ตลาดคาดในกลางปีหน้า เช่นเดียวกับเงินเฟ้อไทยที่ ธปท. คาดจะเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1-3% ในปีหน้า
- ดอกเบี้ยเริ่มเข้าใกล้จุดที่เหมาะสม แม้ตลาดคาด Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% มาอยู่ที่ 4% ในเดือนพฤศจิกายน แต่ในปีหน้า กรอบบนการขึ้นดอกเบี้ยถูกจำกัดอยู่ที่ระดับ 5.25% เห็นได้ว่าระดับการขยับขึ้นค่อนข้างจำกัด ช่วยลดความผันผวนทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยน
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิด Recession ชัดเจนมากขึ้น ทั้งจากการเกิด Inverted Yield Curve ของบอนด์ 10 ปี และ 2 ปีของสหรัฐฯ ที่ยาวนาน รวมถึงข้อมูลจาก Bloomberg ชี้ว่าปี 2566 ยุโรปมีโอกาสเกิด Recession เพิ่มขึ้นเป็น 80% สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 63% แต่ไทยยังห่างไกลและลดลงเหลือเพียง 13%
ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นเด่นกว่าหลายประเทศ ดังนี้
- สำนักเศรษฐกิจต่างประเทศ, IMF และธนาคารโลก คาด GDP ปีหน้าเติบโต 3.7% และ 4.3% ตามลำดับ
- คาดดุลบัญชีเดินสะพัดมีสัญญาณการขาดดุลลดลงทั้งจากดุลการค้าดีขึ้นจากการนำเข้าต้นทุนพลังงานที่ราคาเริ่มลดลง และดุลบริการปรับตัวดีขึ้น หลังจากหลายประเทศผ่อนคลายมาตรการเดินทางข้ามพื้นที่
- เงินทุนสำรองระหว่างประเทศกำลังฟื้นตัว
- ช่วงที่เหลือของปี คาดหวังแพ็กเกจใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ อาทิ ช้อปช่วยชาติ
- FDI ของไทยมีโอกาสเพิ่มขึ้นในอนาคต และล่าสุดมูลค่าเงินลงทุนต่างชาติ 9 เดือน ปี 2565 เพิ่มขึ้น 35%YoY มาอยู่ที่ 223,746 ล้านบาท ส่วน Fund Flow ต่างชาติยังคาดหวังการไหลเข้าต่อเนื่อง
จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังโตต่อเนื่องในปี 2566 ในมุมมองของ IMF มีเพียง 2 ประเทศในเอเซีย คือไทยกับจีนเท่านั้น ขณะที่เม็ดเงินจาก LTF หนุนตลาดในเดือนธันวาคมคาดหวังได้ยาก เพราะหลังจากเปลี่ยนเป็นกองทุน SSF เม็ดเงินที่เคยไหลเข้าตลาดหุ้นไทยราว 2-3 หมื่นล้านบาทในเดือนสุดท้ายของปีเหลือเพียง 1-2 พันล้านบาทเท่านั้น
ดังนั้นแล้ว บล.เอเซีย พลัส จึงมองว่า ในมุม Valuation นั้น ตลาดหุ้นไทยยังดูน่าสนใจ เนื่องจากมี Market Earning Yield Gap ที่ระดับ 4.3% แม้ภาพรวม SET Index จะมี Upside ไม่มาก จากกรอบดัชนีเป้าหมายปี 2565 ที่วางไว้ 1,685-1,720 จุด
จึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุน เน้นกลุ่ม Domestic Consumption แนวโน้ม เติบโตยังสดใสกว่าภาพรวมตลาด อย่าง COM7, MTC, TISCO, BEC, SCGP, GULF
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 12 หุ้นปันผล 2565 ขึ้น XD (9-12 พ.ค. 2565) อัตราปันผลสูงเกิน 5% ขึ้นไป
- 9 หุ้น จ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า 5% ตลอด 5 ปี แถมราคาตั้งแต่ต้นปียังบวก
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65