×

อาร์เซนอลเป็น ‘ทีมลุ้นแชมป์’ ไปแล้ว? ยอมรับเถอะ Gooners

07.11.2022
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 MIN READ
  • หลังบุกไปเอาชนะเชลซีได้ถึงถิ่น มิเกล อาร์เตตา ยอมรับจากปากของตัวเองว่า อย่างน้อย ‘ในเวลานี้’ อาร์เซนอลคือ ‘ทีมลุ้นแชมป์’ 
  • อาร์เซนอลชุดนี้มี 11 ผู้เล่นตัวจริงที่ลงตัวอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ กาเบรียล เชซุส กับ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก มาจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และดึงตัว วิลเลียม​ ซาลิบา กลับมาประจำการในแนวรับ หลังปล่อยให้แซงต์ เอเตียง, นีซ และโอลิมปิก มาร์กเซย ยืมใช้งานเพื่อเก็บประสบการณ์ในลีกเอิงมาร่วม 3 ปี
  • อาร์เตตาไม่สามารถทำงานนี้ได้ดีขนาดนี้แน่หากไม่มีการสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร โดยคนสำคัญที่คอยปกป้อง หนุนหลัง และหาทางช่วยเหลือทุกอย่างคือ เอดู ผู้อำนวยการสโมสร ซึ่งเป็นกำลังสำคัญอีกคนในการเปลี่ยนแปลงทีม
  • ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อาร์เซนอลเป็นทีมที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเป็นพิษ (Toxic) แฟนบอลไม่เคยพอใจผลงานในสนามของทีม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะกันเนอร์สเล่นกันไม่เอาอ่าวไม่เอาทะเลจริงๆ ยิ่งมีช่องทางโซเชียลมีเดียอย่าง ArsenalTV​ ที่แฟนๆ ได้พูดคุยแสดงความคิดเห็นกันเองแล้ว มันมีแต่คำด่าทอเกลียดชังกัน

ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว อาร์เซนอลดูเหมือนเป็นทีมประเภท ‘ใกล้แต่ไปไม่ถึง’ หลังจากที่พลาดท่าเสียทีถูกท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ไล่ต้อนในศึกนอร์ธลอนดอน ดาร์บี แบบขาดลอย 3-0 จนสุดท้ายพวกเขาก็ปล่อยให้คู่แค้นร่วมเมืองปาดหน้าคว้าอันดับ 4 ได้ไปยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายและชวนให้ตั้งคำถามกับทีมของ มิเกล อาร์เตตา มากพอสมควรว่าพวกเขาเดินมาถึงทางตันแล้วหรือยัง? มันสุดความสามารถของกุนซือชาวสเปนแล้วใช่ไหม?

 

อย่างไรก็ดี ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาอาร์เซนอลและอาร์เตตาไม่เคยหันหลังกลับไปมองความเจ็บปวดอีกเลย


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


เกมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กันเนอร์สยกพลไปเยือนเชลซี ทีมคู่ปรับร่วมเมืองลอนดอนอีกทีม ซึ่งแม้จะอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก แต่การไปเยือนเดอะ บริดจ์ ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย และเราคาดหวังได้ว่าทีมของ เกรแฮม พอตเตอร์ น่าจะพยายามกู้หน้ากลับมาบ้างหลังผลงานที่ย่ำแย่ในช่วงที่ผ่านมา

 

แต่ปรากฏว่า อาร์เซนอลของอาร์เตตาเป็นฝ่ายบุกมาเอาชนะได้ด้วยฟอร์มการเล่นที่ต้องบอกว่า ‘เด็ดขาด’ แม้สกอร์จะออกมาแค่ 1-0 ก็ตาม

 

อาร์เซนอลทำได้ดีกว่าเชลซีในทุกจุดของสนาม ไม่ว่าจะเป็นเกมรับ แดนกลาง หรือแดนหน้า โดยที่ตลอด 90 นาทีนั้นแทบไม่ถูกท้าทายจากคู่แข่งเลยแม้แต่น้อย

 

มากกว่าแค่เรื่องของฟอร์มแล้ว สิ่งที่น่าประทับใจมากที่สุดจากที่ได้เห็นทีมของอาร์เตตาทั้งเมื่อคืนนี้และตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาคือ เรื่อง ‘จิตใจ’ (Mentality) ที่ตอนนี้ดูแข็งแกร่งที่สุดทีมหนึ่งของอังกฤษ และเป็นทีมเดียวที่พร้อมขึ้นเวทีท้าชกกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้

 

มันมีหลายจังหวะเหตุการณ์ที่ได้เห็นว่าใจของนักเตะอาร์เซนอลใหญ่กว่านักเตะของเชลซี มีจังหวะที่พวกเขาแสดงให้เห็นว่าจะไม่ยอมแพ้ต่อคู่แข่ง และสัมผัสได้ถึงความเชื่อว่าพวกเขาจะค้นหาคำตอบในเกมได้ด้วยระบบ วิธีการเล่น และตัวนักเตะที่มี

 

นั่นนำไปสู่การยอมรับอย่างเป็นทางการครั้งแรกจากตัวของ มิเกล อาร์เตตา เองว่าอย่างน้อยในเวลานี้อาร์เซนอลคือทีมลุ้นแชมป์

 

“เราเป็นทีมลุ้นแชมป์ในวันนี้” อาร์เตตาบอก “แต่ในเกมฟุตบอลวันนี้กับวันพรุ่งนี้มันสามารถที่จะแตกต่างกันได้อย่างมาก ดังนั้นขอให้มีความสุขกับเวลานี้ไว้”

 

การออกมายอมรับของกุนซือชาวสเปนครั้งนี้ถือว่าน่าสนใจ เพราะโดยปกติแล้วไม่มีใครเขาออกมายอมรับกัน โดยเฉพาะตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งทางของฤดูกาลแบบนี้ ซึ่งแม้อาร์เตตาจะพยายามย้ำและขีดเส้นใต้กับคำว่า ‘วันนี้’ แต่มันก็เป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจน

 

พวกเขาไม่คิดถึงแค่การจบฤดูกาลด้วยการเป็นท็อป 4 พวกเขาต้องการจะไปให้สุดทาง และมีความมั่นใจในทีมของตัวเอง

 

สิ่งที่จะส่งผลตามมาจากคำพูดนี้ไม่เพียงแต่จะปลุกใจทีมเท่านั้น เหล่ากองเชียร์ ‘Gooners’ จำนวนไม่น้อยที่ยังรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ที่จะออกตัวก็อาจจะพร้อมสนับสนุนทีมให้ไปสุดทางด้วยเช่นกันแบบ Come On You Gunners!

 

ส่วนตัวผมเองก็ยอมรับว่าอาร์เซนอลดูมีบางอย่างที่คล้ายกับลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2018/19 และ 2019/20 (ซึ่งพวกเขาคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ) โดยมีปัจจัยดังนี้

 

ทีม (Squad)

อาร์เซนอลชุดนี้มี 11 ผู้เล่นตัวจริงที่ลงตัวอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ กาเบรียล เชซุส กับ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก มาจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และดึงตัว วิลเลียม​ ซาลิบา กลับมาประจำการในแนวรับ หลังปล่อยให้แซงต์ เอเตียง, นีซ และโอลิมปิก มาร์กเซย ยืมใช้งานเพื่อเก็บประสบการณ์ในลีกเอิงมาร่วม 3 ปี

 

สองคนแรกมีคุณภาพของนักเตะที่อยู่ในทีมที่ประสบความสำเร็จ ขณะที่คนหลังคือเพชรเม็ดงามที่กลับมาได้จังหวะเวลาพอดี และกลายเป็นคีย์แมนในเกมรับของอาร์เซนอล เปลี่ยนแปลงทีมได้ทันทีคล้ายกับในวันที่ลิเวอร์พูลได้ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค มาจากเซาแธมป์ตันในราคา 75 ล้านปอนด์

 

เมื่อรวมกับนักเตะที่อาร์เตตาปั้นตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี และ บูกาโย ซากา กับนักเตะที่ค่อยๆ ถูกเติมเข้ามาอย่าง อารอน แรมส์เดล,​ กาเบรียล มาร์กัลเญส, เบน ไวท์, โธมัส ปาร์เตย์ และ มาร์ติน โอเดการ์ด รวมถึง กรานิต ชากา อดีตกัปตันทีมที่กลับมาเล่นได้สมกับที่เคยเป็นอดีตหนึ่งในมิดฟิลด์ดาวเด่นของวงการฟุตบอลยุโรป ทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมด

 

ถึงตัวอะไหล่ทดแทนจะยังไม่แกร่งนัก แต่อย่างน้อย ‘แก่น’ ของทีมแกร่งมากพอแล้วในเวลานี้ โดยเฉพาะหลังผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านวันเวลาที่เจ็บปวดมาด้วยกัน

 

ผู้นำ (Manager)

จากผู้จัดการทีมที่แฟนบอลโห่ไล่หลังพ่าย 3 นัดรวดเมื่อเปิดฤดูกาลที่แล้ว อาร์เตตาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงคำว่า ‘Trust the Process’ หรือจงเชื่อในกระบวนการ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเคยพูดมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020 เลยทีเดียว

 

สิ่งที่เราได้เห็นจากตัวของกุนซือรายนี้คือ เขาได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการวางแผนในการทำงานระยะยาว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้ของอาร์เซนอลมาจากการทำงานหนัก ลงรายละเอียด และที่สำคัญที่สุดคือความอดทนต่อความเจ็บปวดและความล้มเหลว

 

จากทีมที่เป็นได้แค่ของทำเหมือน เวลานี้อาร์เซนอลสามารถสู้ได้กับทุกทีมอย่างสง่างาม ระบบการเล่น วิธีการเล่น และจิตใจ ทุกสิ่งทุกอย่างอาร์เตตาได้ถ่ายทอดให้ลูกทีมไปหมดแล้ว และทุกคนเริ่มเชื่อในความสามารถของเขาจริงๆ ว่าไม่ได้เป็นแค่ ‘คนที่คัฟเวอร์เป็น เป๊ป กวาร์ดิโอลา’ เท่านั้น

 

หนึ่งในการตัดสินใจที่เด็ดขาดและเป็นจุดเปลี่ยนคือ การขับไล่ ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง อดีตกัปตันทีมที่เป็นที่รักของเพื่อนนักเตะและแฟนบอล เพราะไร้ซึ่งวินัยและไม่สามารถเป็นผู้นำทีมที่ดีได้ การตัดสินใจครั้งนั้นทำให้อาร์เซนอลเปลี่ยนเป็นอีกทีมในเวลานี้

 

การสนับสนุนจากเบื้องบน (Support)

แต่อาร์เตตาไม่สามารถทำงานนี้ได้ดีขนาดนี้แน่หากไม่มีการสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร โดยคนสำคัญที่คอยปกป้อง หนุนหลัง และหาทางช่วยเหลือทุกอย่างคือ เอดู ผู้อำนวยการสโมสร ซึ่งเป็นกำลังสำคัญอีกคนในการเปลี่ยนแปลงทีม

 

เอดู คือคนที่ยืนยันจะสนับสนุนอาร์เตตาให้ได้ทำทีมต่อไปไม่ว่าอาร์เซนอลจะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม และยังพยายามหานักเตะในแบบที่กุนซือชาวสเปนต้องการเข้ามาด้วย รวมถึงยังใช้ ‘สายสัมพันธ์’ ส่วนตัวในการดึงนักเตะบางคน

 

สองในนั้นคือ ‘ดับเบิลกาเบรียล’ อย่าง มาร์ติเนลลี (ที่ฉกตัวมาก่อนจะดังในบ้านเกิด) และ เชซุส กองหน้าทีมชาติบราซิลที่ยอมทิ้งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาอาร์เซนอล ทั้งที่ไม่ได้ไปแชมเปียนส์ลีก

 

เสียงเชียร์ (Fans)

ปัจจัยสุดท้ายที่มีความสำคัญอย่างมากคือ การที่กองเชียร์กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับทีมอีกครั้ง

 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อาร์เซนอลเป็นทีมที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเป็นพิษ (Toxic) แฟนบอลไม่เคยพอใจผลงานในสนามของทีม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะกันเนอร์สเล่นกันไม่เอาอ่าวไม่เอาทะเลจริงๆ ยิ่งมีช่องทางโซเชียลมีเดียอย่าง ArsenalTV​ ที่แฟนๆ ได้พูดคุยแสดงความคิดเห็นกันเองแล้ว มันมีแต่คำด่าทอเกลียดชังกัน

 

ปั่นกันหนักจนถึงขั้นที่ กรานิต ชากา ในฐานะกัปตันทีม เกือบจะหมดอนาคต เพราะบันดาลโทสะตอบโต้แฟนบอลในสนามมาแล้ว

 

แต่หลังจากที่ Gooners มองเห็นสิ่งที่อาร์เตตาและนักเตะทุกคนพยายามทำเพื่อจะนำอาร์เซนอลกลับมา มองเห็นทิศทางว่าทีมเริ่มกลับมาเดินถูกทางอีกครั้ง เสียงก่นด่าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงเชียร์ และเสียงเชียร์นั้นทรงพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงบรรยากาศทุกอย่างได้

 

พลังของ Gooners ที่ส่งมาถึงนักเตะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้นักเตะอาร์เซนอลลงสนามด้วยความฮึกเหิม มั่นใจ และเชื่อว่าพวกเขาจะทำได้

 

ดังนั้นจริงอยู่ที่ฤดูกาลยังผ่านมาไม่ถึงครึ่ง ซึ่งมันยังถือว่าเร็วเกินไปที่จะออกตัวในเรื่องของการลุ้นแชมป์ อาร์เซนอลยังมีสิ่งที่ต้องต่อสู้อีกมากในระยะทางที่ยาวไกล พวกเขายังไม่เจอวิกฤตตัวผู้เล่นหลักบาดเจ็บล้นทีม ไม่เจอช่วงฟอร์มตกต่อเนื่อง ยังไม่ได้วัดกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่รู้กันอยู่ว่ามาตรฐานสูงลิบแค่ไหน และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังฟุตบอลโลกจบในเดือนหน้ากลับมาทีมจะเป็นอย่างไร

 

แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดเวลานี้คือพวกเขาพร้อมแล้วที่จะลุยไปด้วยกัน ไม่ว่ามันจะเป็นนรกหรือสวรรค์ก็ตาม

 

จับปืนไว้แล้วไปด้วยกัน!

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising