×

Changing of the Guard จากวันของ ลิเวอร์พูล สู่เวลาของ อาร์เซนอล

10.10.2022
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 MIN READ
  • ถึงอาร์เซนอลจะเก่งกาจแบบนี้มันก็มีคำถามอยู่ดี สำหรับทีมที่คิดจะก้าวขึ้นมาสู่การเป็น Title Contender หรือทีมลุ้นแชมป์แบบเต็มตัว ซึ่งทีมที่จะบอกได้ว่ากันเนอร์สพร้อมหรือไม่พร้อมสำหรับการท้าชนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีเพียงแค่ลิเวอร์พูลซึ่งเป็นหนึ่งในสองทีมที่ดีที่สุดของยุคนี้เท่านั้น
  • สิ่งต่างๆ ที่เห็นเหล่านี้มันอดคิดไม่ได้ว่าอาร์เซนอลในวันนี้ก็คือลิเวอร์พูลที่เคยเป็นในวันวาน เป็นดังกระจกสะท้อนทีมของคล็อปป์ในอดีต

ในภาษากีฬามีคำคลาสสิกคำหนึ่งที่ผมคิดว่าเพราะและมีความหมายลึกซึ้ง คำคำนั้นคือคำว่า ‘Changing of the Guard’

 

ที่มาของคำนี้ไม่มีอะไรมากครับ เพราะมาจากพิธีการเปลี่ยนเวรยามของทหารรักษาพระองค์หน้าพระราชวังบักกิงแฮม ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพียงแต่เมื่อถูกนำมาใช้ในเกมกีฬาแล้วมันถูกสื่อถึงการเปลี่ยนแปลงยุคสมัย การส่งต่อจากยอดนักกีฬาหรือยอดทีมหนึ่งไปสู่ยอดนักกีฬาหรือยอดทีมอีกทีมหนึ่ง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


เกมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเมื่อคืนที่ผ่านมาที่เอมิเรตส์ สเตเดียม ก็เข้าทำนองนี้

 

ตั้งแต่ก่อนเกมเราทราบกันดีว่าอาร์เซนอลภายใต้การนำทีมของ มิเกล อาร์เตตา กำลังอยู่ในช่วงที่กำลังมั่นใจและแกร่งสุดขีด พวกเขาเปลี่ยนแปลงจากทีมที่เต็มไปด้วยจุดอ่อนในเรื่องของระบบการเล่น ผู้เล่นที่ฝีเท้าไม่ถึงขั้น และขาด Winning Mentality ที่จะคว้าชัยชนะในเกมสำคัญ จนกลายมาเป็นทีมที่แข็งแกร่ง เพียบพร้อม และที่สำคัญที่สุดคือ ‘ความเชื่อ’

 

8 นัดแรกของฤดูกาลอาร์เซนอลเก็บชัยชนะได้ถึง 7 นัด พลาดท่าเพียงเกมเดียวต่อลูกล่อลูกชนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กำลังพยายามหาทางกลับมาเช่นกันในยุคของ เอริก เทน ฮาก ซึ่งหลังความพ่ายแพ้ในเกมนั้นพวกเขาแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า Resilience หรือการกลับมาจากความผิดหวัง ไม่ล้มแล้วสะดุดอีกหลายนัดเหมือนก่อน

 

อย่างไรก็ดี ถึงจะเก่งกาจแบบนี้มันก็มีคำถามอยู่ดีสำหรับทีมที่คิดจะก้าวขึ้นมาสู่การเป็น Title Contender หรือทีมลุ้นแชมป์แบบเต็มตัว

 

ถ้าอยากจะเป็นทีมลุ้นแชมป์พวกเขาต้องตอบคำถามในเกมใหญ่ให้ได้ก่อนด้วยชัยชนะที่คู่ควรอย่างแท้จริง

 

ถึงจะสามารถสยบคู่ปรับร่วมเมืองที่ก็แอบหวังจะก้าวขึ้นมาเหมือนกันอย่างท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ได้ในเกมนอร์ธลอนดอนดาร์บี แต่ทีมที่จะบอกได้ว่ากันเนอร์สพร้อมหรือไม่พร้อมสำหรับการท้าชนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีเพียงแค่ลิเวอร์พูลซึ่งเป็นหนึ่งในสองทีมที่ดีที่สุดของยุคนี้เท่านั้น

 

จริงอยู่ที่ทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก แต่ด้วยดีกรีและประสบการณ์ ลิเวอร์พูลไม่ใช่ทีมที่จะยอมให้พวกเขาได้ใบผ่านทางไปง่ายๆ

 

แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ครับ เพราะถึงแม้หงส์แดงยามนี้จะอ่อนแออย่างน่าใจหาย แต่พวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงเขี้ยวเล็บที่ยังเหลืออยู่กับโอกาสในการทำเกมบุกที่จะแจ้ง 2 ครั้ง และได้ถึง 2 ประตูจาก ดาร์วิน นูนเญซ และ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ที่ช่วยยิงไล่ตามตีเสมอได้ถึง 2 ครั้ง 2 ครา

 

คล็อปป์เองก็พูดในทำนองเดียวกันหลังจบเกมว่า หากจะมองในแง่ดีลิเวอร์พูลสภาพนี้ยังพอเล่นงานอาร์เซนอลที่อยู่ในช่วงท็อปฟอร์มได้ขนาดนี้ก็เป็นสิ่งดีๆ ที่เก็บเกี่ยวได้อยู่

 

ไม่นับการตัดสินที่มีเครื่องหมายคำถามของทั้ง ไมเคิล โอลิเวอร์ (ที่เลิกใช้คำต่อท้ายว่าพูลมาสักพักใหญ่) ผู้ตัดสินในสนาม และ ดาร์เรน อิงแลนด์ ผู้ตัดสิน VAR ในจังหวะสำคัญที่มีผลต่อรูปเกม ตั้งแต่ประตูแรกซึ่ง บูกาโย ซากา อาจจะถอยลงมาจากตำแหน่งล้ำหน้า จังหวะที่ ดีโอโก โชตา เปิดบอลไปติดแขนของ กาเบรียล มากัลเญส และจังหวะที่ ติอาโก อัลกันตารา แหย่ขาสกัดบอล กาเบรียล เชซุส จนกลายเป็นจุดโทษที่ตัดสินเกม

 

หากมองในภาพรวมแล้วต้องยอมรับว่าอาร์เซนอลเป็นทีมที่ดีกว่าในทุกจุด ทั้งเกมรุก เกมแดนกลาง และเกมรับที่สามารถสะกดให้ลิเวอร์พูลต้องเล่นตามแผนที่วางเอาไว้ได้อย่างแยบยล โดยมีแค่ช่วงครึ่งแรกหลังได้ประตูนำเร็วตั้งแต่นาทีแรกจาก กาเบรียล มาร์ติเนลลี เท่านั้นที่พวกเขาผ่อนเกมจนทำให้ลิเวอร์พูลเริ่มตอบโต้ได้

 

แต่ทั้งนี้สิ่งที่มีความหมายสำคัญมากกว่าชัยชนะในเกมหรือชัยชนะในการวางแผน คือเรื่องของจิตใจ

 

ตลอดทั้ง 90 นาทีที่เอมิเรตส์ นักเตะอาร์เซนอลแสดงให้เห็นถึงหัวใจที่ใหญ่กว่า ห้าวหาญกว่า และต้องการชัยชนะมากกว่า

 

พวกเขายังแสดงให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันแบบชัดแจ้งในช่วงของการฉลองประตูที่มีการล้อมวงกอดคอกันเพื่อปลุกเร้าและเตือนไม่ให้ประมาทคู่แข่ง


สิ่งต่างๆ ที่เห็นเหล่านี้มันอดคิดไม่ได้ว่าอาร์เซนอลในวันนี้ก็คือลิเวอร์พูลที่เคยเป็นในวันวาน เป็นดังกระจกสะท้อนทีมของคล็อปป์ในอดีต


ทีมที่เต็มไปด้วยพลัง ความร้อนแรง และความเชื่อ

 


กาเบรียล มาร์ติเนลลี, กาเบรียล เชซุส และ บูกาโย ซากา มีค่าเท่ากับ ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต เฟอร์มิโน และ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์

 

วิลเลียม ซาลิบา และ กาเบรียล มากัลเญส ก็เหมือน เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ โจเอล มาทิป

 

กรานิต ชากา เขาคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ผู้ที่ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายและกลับมาเป็นผู้นำตัวจริงไม่ว่าจะมีปลอกแขนกัปตันทีมอยู่กับตัวหรือไม่ก็ตาม

 

ในขณะที่ลิเวอร์พูลเต็มไปด้วยแกนหลักนักเตะที่เริ่มโรยราอายุเข้าสู่เลข 3 อาร์เซนอลเต็มไปด้วยนักเตะพลังหนุ่มที่สดกว่า แรงกว่า ห้าวกว่า

 

โดยที่นักเตะเหล่านี้เกือบทุกคนผ่านช่วงเวลาที่เจ็บปวดจากความผิดหวังมาหมดแล้ว และไม่ต้องการที่จะผิดหวังอีก พร้อมจะสู้เพื่อเพื่อน

 

ทีมนี้เมื่อรวมกับนักเตะที่มีประสบการณ์จากทีมระดับสูงสุดอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้อย่าง เชซุส และ โอเล็กซานเดอร์​ ซินเชนโก (และการกลับมาแบบดีเหลือเชื่อของซาลิบา) มันจึงเกิดเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างเหลือเชื่อ

 

อาร์เตตาผู้รอดตัวจากการโดนปลดเมื่อต้นฤดูกาลที่แล้วเองก็เช่นกัน เขาเรียนรู้อะไรมามากพอตลอดช่วงระยะเวลาเกือบ 4 ปีที่ผ่านมาโดยที่ไม่เคยสูญเสียจุดยืนและแนวทางของตัวเอง ซึ่งที่สุดแล้วด้วยความช่วยเหลือจาก เอดู ผู้อำนวยการสโมสรทั้งคู่จึงร่วมกันสร้างกันเนอร์สชุดที่ดีที่สุดในรอบ 15 ปี

 

ลิเวอร์พูลของคล็อปป์เองก็ใช้เวลา 4 ปีเช่นกันในการขึ้นมาท้าทายแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาล 2018/19 ที่หลายคนน่าจะยังจำกันได้ดี

 

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าเส้นทางระหว่างทั้งสองทีมนี้จึงเดินทางมาถึงจุดตัดพอดีเมื่อคืนที่ผ่านมา

 

เป็นเกม Changing of the Guard และเป็นการประกาศแบบชัดเจนว่า วันนี้อาร์เซนอลกลับมาเพื่อทวงยุคสมัยของพวกเขาคืนแล้ว

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising