Apple กำลังตบเท้าเข้าไปเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในวงการภาพยนตร์ หลังเตรียมใช้เงิน 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี หรือราว 3.4 หมื่นล้านบาท ในการสร้างภาพยนตร์เพื่อบุก ‘โรงหนัง’
แหล่งข่าวได้กล่าวกับ Bloomberg ว่าการขยับตัวของ Apple เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอันทะเยอทะยานในการยกระดับโปรไฟล์ในฮอลลีวูด และดึงดูดสมาชิกให้มาใช้บริการสตรีมมิงของตัวเอง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ไม่หวั่นแม้มาช้า! Amazon Prime Video พร้อมแล้วที่จะบุก ‘สมรภูมิวิดีโอสตรีมมิงไทย’
- จากคู่แข่งกลายเป็นมิตร Netflix อาจต้องหันไปจับมือกับโรงหนัง เพื่อฟื้นธุรกิจของตัวเอง
- เปิดเบื้องหลังแนวคิด Apple ดัน ริฮานน่า ขึ้น ‘Super Bowl Halftime Show’ ทั้งที่ไม่ได้ค่าตัวสักบาท แต่ทำไมถึงมีแต่คำว่าได้ไม่มีเสีย
Apple ได้ติดต่อสตูดิโอภาพยนตร์เกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรเพื่อออกฉายภาพยนตร์ 2-3 เรื่องในโรงหนังในปีนี้ และภาพยนตร์อื่นๆ อีกในอนาคต
ภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง Argylle ของ Matthew Vaughn นำแสดงโดย Dua Lipa และ Henry Cavill และภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์เรื่อง Napoleon ของ Ridley Scott ที่นำแสดงโดย Joaquin Phoenix กำลังได้รับการพิจารณาให้เป็นคลื่นลูกแรกของ Apple ซึ่งจะเข้าฉายในโรงหนังเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Apple จะส่งหนังของตัวเองเข้าไปฉายในโรง ก่อนหน้านี้ได้มีเรื่อง CODA ซึ่งทำให้ Apple ได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก โดยฉายในโรงหนังบางแห่ง แต่ไม่มีการรายงานรายได้รวม
การเข้าฉายในโรงถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จะสามารถสร้างการรับรู้สำหรับบริการสตรีมมิง Apple TV+ คาดว่าจะมีจำนวนสมาชิกระหว่าง 20-40 ล้านคน ซึ่งน้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Netflix และ Disney+
ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple และ Amazon กำลังเพิ่มการลงทุนด้านความบันเทิง ในขณะเดียวกันก็ลดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่น Amazon เลิกจ้างพนักงานหลายพันคน ในขณะที่ Apple กำลังลดค่าใช้จ่ายของพนักงานลง
โดย Amazon ซึ่งซื้อกิจการ Metro-Goldwyn-Mayer ซึ่งเป็นสตูดิโอเบื้องหลังภาพยนตร์ James Bond ด้วยมูลค่า 8.5 พันล้านดอลลาร์ มีเป้าหมายที่จะสร้างภาพยนตร์ปีละ 12-15 เรื่องที่จะออกฉายในโรงหนัง
การที่ยักษ์ใหญ่สนใจโรงยังไม่ใช่เรื่องน่าดีใจ กลับกัน Eric Wold นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมสื่อและความบันเทิงของ B. Riley Securities กล่าวว่า “การมีแพลตฟอร์มสตรีมมิงขนาดใหญ่หลายแห่งตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการโรงหนังนั้นถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลที่สุด”
สำหรับ Apple และ Amazon การทำเช่นนี้ไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือธุรกิจโรงหนังที่มีปัญหา ซึ่งยอดขายตั๋วยังคงลดลงประมาณ 35% จากช่วงก่อนโควิด แต่นี่เป็นวิธีการโปรโมตบริการสตรีมมิงของตน
เพราะตามหลักการแล้ว ยิ่งภาพยนตร์ได้รับความสนใจบนจอใหญ่มากเท่าไร ผู้คนก็จะยิ่งต้องการดูสิ่งอื่นที่มีให้บริการออนไลน์มากขึ้นเท่านั้น และสมัคร (หรือชำระเงินต่อไป) สำหรับการสมัครสมาชิกรายเดือนสำหรับ Apple TV+ หรือ Prime Video
อย่างในช่วงที่โรงหนังต้องปิดหรือลดความจุลง Disney, Universal, Warner Bros. และบริษัทอื่นๆ ได้ใช้เวลาในการทดลองแผนการออกฉาย ตั้งแต่ Black Window ไปจนถึง Trolls World Tour ภาพยนตร์ยอดนิยมหลายสิบเรื่องไม่ได้ฉายบนจอใหญ่ทั้งหมด หรือฉายบนแพลตฟอร์มสตรีมมิงในวันเดียวกับที่เข้าฉายในโรงหนัง
ซึ่งสิ่งนี้สร้างความกังวลว่าจะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องตบเท้าเข้าโรงหนังอีกต่อไป แม้ว่าประสบการณ์จากจอใหญ่จะแตกต่างจากการดูที่บ้านก็ตาม
ภาพ: Courtesy of Apple
อ้างอิง: