จากกรณีที่ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ประกาศเข้าซื้อหุ้น 99.87% ของ บมจ.ทริปเปิลที บรอดแบนด์ (TTTBB) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) รวมถึงการได้มาซึ่งบริษัทย่อยของ TTTBB อีก 2 บริษัท คือ บริษัท ทริปเปิลที อินเทอร์เน็ต จำกัด และบริษัท อิน คลาวด์ จำกัด คิดเป็นมูลค่ารวม 19,500 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ADVANC ได้เข้าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) จาก JAS จำนวน 1,520 ล้านหน่วย หรือ 19% ในราคาหน่วยละ 8.5 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 12,920 ล้านบาท
ธุรกรรมซื้อหุ้นและซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวมีมูลค่ารวม 32,420 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1/66
พิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า การเข้าซื้อของ ADVANC ในครั้งนี้ถือว่าไม่แพง หากพิจารณาจากมูลค่าราว 32,000 ล้านบาท เมื่อตีเป็นราคาต่อหุ้นของ JAS จะอยู่ที่ราว 3.8 บาท ขณะที่ราคาตลาดเมื่อวันศุกร์ของ JAS อยู่ที่ 3.6 บาท ส่วนราคาเหมาะสมของ JAS ที่ บล.กสิกรไทย ประเมินไว้อยู่ที่ 3.4 บาท
“การที่ AIS เข้าซื้อ 3BB จะทำให้บริษัทขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน และช่วยให้สงครามราคาจบลง และมีกำไรเพิ่มขึ้น”
นอกจากนี้ดูเหมือนว่า บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) และ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) จะได้อานิสงส์จากดีลนี้ไปด้วย เพราะ ADVANC คงจะไม่สามารถเข้าไปคัดค้านดีลควบรวมของทั้งสองบริษัทได้อีก และยังได้ประโยชน์จากการที่ผู้เล่นในตลาดน้อยลง
ในมุมของ JAS แม้จะได้เงินสดไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นดีลที่ไม่ได้ขายแพงนัก ขณะที่เงินสดส่วนหนึ่งน่าจะจ่ายปันผลออกมาให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ JAS คือ พิชญ์ โพธารามิก อาจจะนำเงินส่วนหนึ่งไปชำระคืนหนี้ที่ค้างอยู่กับธนาคารไทยพาณิชย์ และเงินอีกส่วนหนึ่งก็อาจจะไปถูกนำไปลงทุนเพิ่มกับ บมจ.โมโน เน็กซ์ (MONO)
ขณะที่ JASIF อาจจะได้รับผลกระทบหนักสุด ส่วนหนึ่งจากการที่ ADVANC ประกาศเข้าซื้อด้วยราคาเพียง 8.5 บาท ต่ำกว่าราคาในตลาดที่ 9.5 บาท และถึงแม้ว่า 3BB จะต่อสัญญาเช่าโครงข่ายของ JASIF ไปอีก 6 ปี ยืดจากปี 2574 ไปถึงปี 2580 แต่หลังจากนั้นมีโอกาสที่ 3BB อาจจะไม่ต่อสัญญากับ JASIF อีกแล้ว
ปัจจุบัน JASIF จ่ายเงินปันผล 0.95 บาท ซึ่งจะอยู่ในระดับนี้ไปจนถึงปี 2568 ก่อนจะลดลงมาเหลือ 0.70 บาท ไปจนถึงปี 2580 แต่หลังจากนั้นอาจจะไม่มีผู้เช่าอีกแล้ว เพราะ ADVANC น่าจะดึง 3BB กลับไปใช้โครงข่ายของบริษัทเอง
“โดยสรุปแล้วดีลนี้เป็นบวกต่อ ADVANC, DTAC และ TRUE ซึ่งเรามองว่านักลงทุนยังคงเข้าซื้อได้ ขณะที่ JAS และ JASIF เราแนะนำเพียงแค่ถือ ด้าน MONO รวมไปถึง JTS ที่ถูกเก็งกำไรขึ้นมาในวันนี้ หากเป็นนักลงทุนไม่แนะนำเข้าซื้อ”
ด้าน ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ADVANC น่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดในระยะยาว เพราะจะได้ฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ขณะที่มูลค่าการซื้อในครั้งนี้ถือว่าไม่แพง คิดเป็นระดับ EV/EBITDA 4.4 เท่า ต่ำว่ากลุ่มสื่อสารที่ 7-8 เท่า
อย่างไรก็ตาม 3BB ยังต้องบันทึกขาดทุนทางบัญชีตามมาตรฐานบัญชีใหม่ อาจกดดันผลประกอบการของ ADVANC เล็กน้อย แต่ก็ถูกชดเชยด้วยความสามารถในการแข่งขันและต้นทุนที่อาจจะลดลง
ในส่วนของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย หากประเมินแบบอนุรักษนิยมคือ ADVANC ใช้เงินกู้ทั้ง 100% จะทำให้บริษัทมีดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นปีละ 1,600 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่ JAS จะได้รับเงินก่อนภาษีทั้งสิ้น 32,400 ล้านบาท ในส่วนนี้ต้องติดตามว่าบริษัทจะนำเงินไปลงทุนด้านใดต่อ เพราะหลังจากนี้ JAS จะไม่เหลือธุรกิจหลัก โดยจะมีเพียง JTS เท่านั้น
“กว่าดีลจะจบคือช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า เชื่อว่าราคาหุ้น JAS อาจถูก Sell on Fact และแกว่งตัวออกข้าง โดยอาจจะมีแรงเก็งกำไรเข้ามาอีกครั้งคือก่อนปันผลพิเศษในปีหน้า”
