วันนี้ (12 ตุลาคม) จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เสร็จสิ้นภารกิจในการเดินทางเยือน สปป.ลาว ในช่วงระหว่างวันที่ 8-11 ตุลาคม 2567
โดยในวันแรกเป็นการเยือน สปป.ลาว ในฐานะแขกของ สปป.ลาว อย่างเป็นทางการ ซึ่งได้รับการต้อนรับจากนายกรัฐมนตรีของ สปป.ลาว และผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาล สปป.ลาว อย่างสมเกียรติ ได้ประชุมหารือปัญหาสำคัญของประเทศไทย-สปป.ลาว ที่ได้ร่วมกันจับมือแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ปัญหาหมอกควันและยาเสพติดระหว่างชาติ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาแม่น้ำโขงเพื่อป้องกันอุทกภัยระหว่างกันในอนาคต
จากนั้นในวันที่ 9-11 ตุลาคม 2567 นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 การประชุมอื่นๆ รวมทั้งการพบปะผู้นำแต่ละชาติที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้นกว่า 20 การประชุม เช่น การหารือระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้แทนสมัชชารัฐสภาอาเซียน การประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ซึ่งผลของการประชุมเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจาอย่างยิ่ง
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้หารือทวิภาคีเพื่อแนะนำตัวและสร้างความคุ้นเคยกับผู้นำ 12 ประเทศ ได้แก่ บรูไน, กัมพูชา, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เวียดนาม, จีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, อินเดีย, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และแคนาดา รวมทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ Klaus Schwab ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร WEF ซึ่งได้เชิญนายกรัฐมนตรีไปร่วมการประชุม WEF ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ในปีหน้าด้วย
จิรายุกล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ถือว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จในการนำเสนอและผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน รวมทั้งการส่งเสริมความเชื่อมโยง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้หยิบยกและผลักดันการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างกัน และการขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่า รวมทั้งการใช้ซอฟต์พาวเวอร์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน
ส่วนในหลายๆ เวทีการประชุมและการหารือกับประเทศต่างๆ ไทยและประเทศคู่เจรจายังตอบรับที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อรับมือปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการลักลอบค้ายาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การรับมือภัยพิบัติ การบริหารจัดการน้ำ และการแก้ไขปัญหาหมอกควัน PM2.5 รวมทั้งการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากทั้งประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจา
ขณะที่นายกรัฐมนตรีกล่าวบนเวทีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนวันสุดท้าย ว่าจะส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาคนี้ โดยไทยเสนอตัวให้ใช้สถานที่จัดการประชุมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อส่งเสริมความพยายามของอาเซียนในการช่วยกันแก้ไขปัญหาในเมียนมาโดยสันติในเดือนธันวาคมปีนี้ด้วย
จิรายุกล่าวอีกว่า การประชุมทั้ง 4 วันประสบความสำเร็จอย่างงดงาม สื่อมวลชนต่างชาติและประเทศคู่เจรจาให้ความสำคัญกับประเทศไทย และได้นำปัญหาและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมาพูดคุยกันจนเป็นรูปธรรม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละประเทศต่อไป ซึ่งในปีหน้าประเทศมาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพการประชุมอาเซียน ครั้งที่ 46