×

ติดปีก หุ้นจีน โค้งสุดท้าย เด้งแรงชั่วคราวหรือยาวไป

03.10.2024
  • LOADING...

จัดจ้านในย่านการลงทุนเวลานี้ต้องยกให้ตลาดหุ้นจีนซะแล้ว!

 

เมื่อรัฐบาลสาดกระสุนด้วยมาตรการแพ็กใหญ่อย่างต่อเนื่องเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา หวังเร่งกอบกู้เศรษฐกิจ ปลดล็อกวิกฤตอสังหาและตลาดหุ้น เป็นของขวัญให้ประชาชนเนื่องในโอกาสวันชาติในวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งจะเป็นช่วงวันหยุดยาว 1 สัปดาห์ของประเทศเลยทีเดียว

 

โฟกัสของตลาดกลับมาที่หุ้นจีนในบัดดล ด้วยประวัติศาสตร์ของ ‘หุ้นจีน’ ​ดัชนี CSI 300 พุ่งกระฉูด +6% มาอยู่ที่ 4,018 จุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 9 วันทำการรวมแล้ว +27% เข้าสู่ภาวะตลาดกระทิง (Bull Market) ไปเรียบร้อยภายในเวลาไม่กี่วัน โดยเฉพาะหุ้นใหญ่พุ่งแรงที่สุดส่งให้ดัชนี Beijing 50 ดีดเด้ง 15% เพียงวันเดียวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนมูลค่าการซื้อขายแตะ 1 ล้านล้านหยวนในช่วงเวลา 30 นาทีอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และภายในครึ่งวันเช้ามูลค่าการซื้อขายก็ทะลุ 2 ล้านล้านหยวน สูงที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นเลยทีเดียว

 

ปรากฏการณ์คนแห่ซื้อหุ้นในวันเดียวดันตลาดผันผวนหนักเกินไป ส่งผลกระทบจนตลาด Futures ต้องทำการปิดชั่วคราว บรรดาบริษัทโบรกเกอร์ต้องเปิดให้บริการพิเศษตลอด 24 ชั่วโมง เพราะมีความต้องการซื้อขายจากนักลงทุนรายย่อย จนเว็บไซต์หลายบริษัทล่มจากปริมาณการใช้งานที่พุ่งสูงแบบไม่เคยพบเห็นมาก่อน

 

ผมขอถามก่อนว่า แล้วมีใครขึ้นขบวนหุ้นจีนทันบ้างครับ…ยกมือขึ้น! เพราะผมจำได้ว่าผมเชียร์หุ้นจีนแบบตะโกนไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และปีนี้ก็ยังเชียร์มาอย่างต่อเนื่อง ใครที่ลงทุนตามผมไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้อาจจะยังยิ้มแห้งๆ แต่เชื่อว่าตอนนี้คุณยิ้มกว้างได้แล้วใช่ไหมครับ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่ติดดอยต่างทยอยทำกำไรกันไปแล้วแน่ๆ

 

ส่วนคนที่ไม่กล้าลงทุนหรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ คุณคงมีคำถามว่าลงทุนหุ้นจีนในตอนนี้ยังทันไหม หุ้นจีนจะไปต่อหรือใกล้หมดรอบหรือเปล่า…พี่จีนลากโหดเกินไปจะเอาอย่างไรดี?

 

หลายคนคงอยากให้มีใครสักคนออกมาฟันธงใช่ไหมครับ เอาจริงๆ เป็นเรื่องยากมากๆ ที่ใครจะคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ ปกติตลาดหุ้นกับความผันผวนเป็นของคู่กันอยู่แล้ว เหมือนเลือดจะไปลมจะมา อารมณ์แปรปรวนตลอดครับ 

 

ปรากฏการณ์หุ้นจีนในช่วงสั้นๆ ที่เกิดขึ้น จะยังเป็นโอกาสให้ลงทุนสร้างผลตอบแทนได้อย่างไรบ้าง ผมจะวิเคราะห์ผ่านข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญ เพื่อให้คุณใช้ประกอบการตัดสินใจจัดพอร์ตลงทุนต่อไปครับ

 

หุ้นจีน ดีดเด้ง รัฐบาลอัดมาตรการแพ็กใหญ่ กู้อสังหา-ตลาดหุ้น

 

เรามาดูกันว่าสาเหตุที่ทำให้ ‘หุ้นจีน’ พุ่งแรงในรอบนี้ หลังจากที่ดิ่งลงมาหลายเดือนในช่วงกลางปี​นี้ นั่นก็เพราะ ‘จีนใช้ยาแรง!’

 

ผมขอสรุปนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลจีนประกาศใช้ ดังนี้

 

  • รัฐบาลเตรียมอัดฉีดนโยบายจริงจังเพื่อยุติวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุด ในการประชุมของรัฐบาลจีน มีแผนเดินหน้าเน้นแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ยังไม่คลี่คลาย และมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมประจำปี ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนพุ่งกระฉูดทันที!

 

  • มาตรการพยุงภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ห้ามก่อสร้างที่พักอาศัยใหม่ เพื่อพยุงราคาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันไม่ให้ปรับตัวลดลง ​การลดอัตราเงินดาวน์สำหรับการซื้อบ้านหลังที่ 2 จาก 25% เหลือ 15% และล่าสุด 3 เมืองใหญ่ของจีน ‘กว่างโจว, เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น’ ผ่อนปรนกฎระเบียบสำหรับผู้ซื้อบ้าน

 

  • ธนาคารกลางจีนปรับลดอัตรา Reserve Requirement Ratio (RRR) 0.5% ก็คือการขยายเพดานเงินกู้ให้ธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้มากขึ้น เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบเศรษฐกิจจำนวน 1 ล้านล้านหยวน นอกจากนี้ ประกาศแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ชั้นดี (LPR) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยกู้บ้านอีกอย่างน้อย 0.3% ซึ่งธนาคารกลางจีนจะสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่ยังผ่อนไม่หมดก่อนวันที่ 31 ตุลาคม ทั้งนี้ คาดว่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่ยังผ่อนไม่หมดปรับตัวลดลงเฉลี่ย 0.5%

 

  • การประกาศจัดตั้ง Swap Program อนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์ กองทุน และบริษัทประกัน สามารถเพิ่มสภาพคล่องจากธนาคารกลาง และ Relending Program ที่จะให้สภาพคล่องบริษัทซื้อหุ้นตัวเองคืน ดันราคาหุ้นในตลาด รวมมูลค่าอัดฉีดสูงถึง 3.7 ล้านล้านบาท

 

Mark Williams นักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก บริษัทวิจัย Capital Economics ประเมินว่า แพ็กเกจกระตุ้นทางการคลังจะส่งผลให้ GDP ของจีนเพิ่มขึ้นได้ 0.4% ซึ่งเพียงพอที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้ตามเป้าหมาย 5%

 

ด้วยนโยบายที่ประกาศออกมาเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นเป็นหลัก ส่วนตัวผมมีมุมมองว่า มีโอกาสที่ตลาดจะโตได้อีกในอนาคต เมื่อเม็ดเงินที่รัฐบาลอัดฉีดกระจายเข้าสู่ภาคส่วนที่เป็นเป้าหมายแล้ว

 

คงจำกันได้เมื่อต้นปี รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเม็ดเงิน 2 ล้านล้านหยวนไปรอบหนึ่งแล้ว และส่งผลให้ตลาดหุ้นพลิกกลับมาเป็นบวกราว 5% ในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ GDP ในไตรมาสแรกเติบโตสูงถึง 5.3%

 

แต่ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา หุ้นจีนถลาลงอีกรอบ หลังประกาศ GDP ไตรมาส 2 เติบโตต่ำเกินคาดอยู่ที่ระดับ 4.7% สะท้อนสัญญาณเศรษฐกิจจีนชะลอตัว นักลงทุนแห่ขายหุ้นจีนทิ้งดิ่ง ทำให้ดัชนี CSI 300 แตะจุดต่ำสุดประมาณ 3,400 จุดในเดือนกันยายน ก่อนที่รัฐบาลจีนตัดสินใจประกาศอัดมาตรการชุดใหญ่ตามหลัง ซึ่งเป็นที่มาที่ดัชนี CSI 300 พุ่ง +15% (23-27 กันยายน) ทำสถิติเป็นสัปดาห์ที่หุ้นขึ้นมากที่สุดในรอบ 16 ปี และยังพุ่งขึ้นร้อนแรงทำตลาดแตกไปอีกราว 6% ในวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา

 

มุมมองของนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์แต่ละแห่งมองกันอย่างไรบ้าง

 

Morgan Stanley มองว่า หุ้นจีนยังบวกต่อได้อีก +10% และ Goldman Sachs แสดงความมั่นใจในการปรับตัวของหุ้นจีนในครั้งนี้ ‘จะต่างกับครั้งก่อน’ และอาจเป็นการกลับตัวที่แท้จริงของตลาด

 

Lombard Odier ออกมาเตือนนักลงทุนว่า อย่าเพิ่งด่วนสรุปกับมาตรการชุดใหญ่ที่จีนอัดฉีดเข้ามา เพราะอาจจะยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวที่ยั่งยืนของตลาดทั่วโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ Lombard Odier เป็นหนึ่งในผู้จัดการสินทรัพย์ระดับโลกชื่อดัง ที่ลดสัดส่วนการลงทุนจากจีนตั้งแต่เนิ่นๆ จนสามารถลดความเสียหายของพอร์ตไปได้มาก

 

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจีนออกแถลงการณ์บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการในวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมาว่า กำไรของบริษัทที่รัฐบาลจีนเป็นเจ้าของในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ลดลง 2.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และล่าสุดดัชนี PMI ภาคการผลิตจีนออกมา 49.8% หรือยังหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน บ่งบอกว่าเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นตัวได้เร็ว

 

ผมมองว่ามาตรการต่างๆ ที่อัดฉีดเข้าไปอาจจะออกฤทธิ์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และแก้วิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ แต่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศของจีนยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี

 

ยังมีโอกาสการลงทุนในหุ้นจีน จำเป็นต้องมองระยะยาว

 

จริงๆ แล้วในช่วงก่อนหน้าที่หุ้นจีนจะขึ้นรอบนี้ ผมเห็นนักลงทุนสถาบันหลายๆ รายออกมามองการลงทุนจีนให้เป็นระยะยาวมากกว่า

 

Allianz Global Investors มองว่า ภาพในระยะยาวเศรษฐกิจจีนยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และคาดว่าจะแซงหน้าเศรษฐกิจตะวันตกส่วนใหญ่ได้ในที่สุด ทั้งนี้ คาดว่า GDP จีนปี 2024 จะเติบโตประมาณ 4.5-5% แต่เป้าหมายนี้จะเป็นไปได้ต้องมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐออกมาเท่านั้น

 

จีนยังอยู่ในช่วงต้นของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเติบโตด้วยโครงสร้างใหม่บนพื้นฐานเทคโนโลยีใหม่ๆ เท่านั้น สิ่งที่จะทำให้ตลาดจีนพลิกกลับมาได้คือ จีนต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ามีความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจมากกว่าที่คาดการณ์กันไว้ ขณะที่นักลงทุนยังต้องการเห็นกรอบการทำงานที่สอดคล้องกันมากขึ้นในการฟื้นฟูและปรับโครงสร้างภาคอสังหาริมทรัพย์

 

JPMorgan ให้มุมมองเชิงบวกต่อหุ้นรายกลุ่มของจีน นั่นคือ หุ้นอินเทอร์เน็ตขนาดใหญ่ของจีน เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมนวัตกรรมและสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล และพบว่ามีบางบริษัทจะมองเห็นกำไรในปี 2024 ที่สูงพอสมควร 

 

อย่างไรก็ตาม JP Morgan ชี้ว่า นักลงทุนยังต้องเผชิญความท้าทายจากการลงทุนสินทรัพย์ในจีนต่อไป และสถานะของธนาคารในจีนยังคงเต็มไปด้วยแรงกดดันจากเศรษฐกิจมหภาค การชะลอตัวของผลประกอบของธนาคาร และความเสี่ยงที่ลุกลามมาจากหุ้นกู้ภาคอสังหาริมทรัพย์ผิดนัดชำระหนี้

 

เนื่องจากยังขาดมาตรการใหม่ๆ ออกมาสนับสนุน ทำให้เรายังคงระมัดระวังในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน จนกว่าจะเห็นการพัฒนาในการปรับปรุงสภาพคล่องของนักพัฒนาหรือด้านยอดขาย 

 

แม้จะมีความเป็นไปได้น้อยในการออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค แต่คาดว่าจะเห็นมาตรการที่มุ่งเน้นเจาะจงในกลุ่มย่อย เช่น เซมิคอนดักเตอร์, การท่องเที่ยว, รถยนต์, พลังงานใหม่ และระบบอัตโนมัติ

 

Invesco มองว่า ปัจจุบันจีนอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยมี 2 แนวโน้มสำคัญที่น่าสนใจ ได้แก่ โลกาภิวัตน์ และการมุ่งสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทที่มีความสามารถทางเทคโนโลยีและมีตำแหน่งเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักระดับโลก บริษัทเหล่านี้มีขนาดและขั้นตอนการพัฒนาที่สำคัญ อยู่ในตำแหน่งการเติบโตทั่วโลกในขั้นต่อไป

 

ประเทศจีนยังครอบครองห่วงโซ่อุปทานพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมถึงวัตถุดิบ พลังงานใหม่ การเปลี่ยนผ่านสมาร์ทกริด แบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้า ผมเชื่อว่าการมีห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางของการบริโภคและการผลิตคาร์บอนต่ำ จะทำให้ซัพพลายเออร์และบริษัทจีนมีความได้เปรียบในการแข่งขัน และเสริมสร้างตำแหน่งผู้นำด้านนี้

 

Nikko Asset Management วิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นจีนในปี 2024 มีโอกาสที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงไปสู่การผลิตขั้นสูง และการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นจุดอ่อนของเศรษฐกิจจีน และยังเป็นอุปสรรคต่อความเชื่อมั่นที่มีต่อตลาดโดยรวม ซึ่งขณะนี้รัฐบาลจีนได้ดำเนินการเชิงรุกเพื่อถ่วงดุลความสูญเสียจากภาคอสังหา ด้วยการประกาศมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดอสังหา เช่น ยกเลิกข้อจำกัดการซื้อบ้าน ลดอัตราส่วนเงินดาวน์ และอัตราการจำนอง มีโครงการปรับปรุงหมู่บ้านในเมือง ซึ่งอาจเป็นการวางรากฐานการฟื้นตัวของภาคอสังหาในจีนอย่างค่อยเป็นค่อยไป

 

ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงสูงต่อไป รวมถึงเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ เพิ่มความเข้มงวดในการทำให้จีนไม่สามารถเข้าถึงชิปขั้นสูงได้ อย่างไรก็ดี บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในจีนก็มีการปรับตัวด้วยการจัดตั้งแผนกกฎหมายและความเสี่ยง เพื่อดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่ และรักษากำไรให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

ผมมองว่าจีนกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงเอง มุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับโลก ซึ่งจีนก็ประสบความสำเร็จให้เห็นแล้ว โดย HUAWEI ที่เปิดตัวสมาร์ทโฟน Mate 60 ซึ่งมาพร้อมชิป 7 นาโนเมตรที่ออกแบบเอง และ Xiaomi ที่เปิดตัวระบบปฏิบัติการมือถือ ทำให้นักลงทุนมองว่าจีนยังเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งระดับนานาชาติด้านเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค

 

นอกจากนี้ จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกในการผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า การผลิตอุปกรณ์รถไฟความเร็วสูง และผลิตภัณฑ์พลังงานสีเขียวหลายรายการ ถือเป็นช่วงที่จีนกำลังก้าวสู่การพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี

 

จีนกำลังเร่งเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจตามเป้าหมายประเทศที่ต้องการเป็น China Innovation ตอกย้ำจีนเร่งถีบตัวขึ้นมาสู่มหาอำนาจทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งของโลก และอีกภาคธุรกิจที่กำลังติดลมบนของจีนคือ ธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นภาคที่มีขนาดใหญ่ รวมไปถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอาจจะต้องใช้เวลายาวนานหลายปี แต่ก็จะเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว และตลาดหุ้นสามารถทำผลตอบแทนที่ดีตามไปด้วย

 

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ในระยะไกลจีนจะยังมีอนาคตที่ดี แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าจีนยังมีความเสี่ยงด้านความไม่แน่นอนอยู่มาก ทั้งปัญหาในประเทศที่รัฐบาลมีอำนาจในการปรับเปลี่ยนนโยบายตลาดอย่างคาดไม่ถึง ปัญหาเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอทั้งการผลิต และการบริโภคภาคเอกชนที่ต้องรอดูว่ามาตรการที่อัดฉีดออกมาจะพยุงตลาดได้แค่ไหน ขณะที่ปัญหาภายนอกประเทศที่ต้องเผชิญกับความท้าทายของปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยังเป็นความเสี่ยงหลักจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างไต้หวัน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ที่เป็นคู่ขัดแย้งทั้งทางด้าน Trade War และ Tech War ที่ยืดเยื้อ แต่ก็นั่นแหละ สิ่งนี้เป็นบทบาทของยักษ์ใหญ่ของโลกที่พร้อมท้าทายใส่กันเสมอ

 

ในฐานะนักลงทุนเน้นคุณค่าหรือ VI เรามักมองหาหุ้นดีราคาถูกเพื่อเข้าลงทุน ซึ่งหลักการนี้เองที่ AI ของ Jitta ตั้งค่าในการนำข้อมูลทุกมิติมาวิเคราะห์ตลาดในแบบ Predictive Analytics หรือที่เรียกว่า Jitta Market Prediction​ และเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เข็มทิศ AI ของเราก็ชี้เป้าตลาดที่มีศักยภาพน่าลงทุน และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้มากที่สุด​ไปที่ประเทศจีนและฮ่องกง ว่าน่าจะสร้างผลกำไรดีที่สุดในอนาคต​ มาถึงวันนี้ผมว่า Jitta Market Prediction​ ที่เพิ่งเปิดตัวไปก็แม่นยำไม่น้อย จริงไหมครับ 

 

ในช่วงนั้นข้อมูลที่ AI ชี้ว่าหุ้นจีนและฮ่องกงน่าสนใจ มาจากหลักการหุ้นดีราคาถูกที่ผมว่าไว้ข้างต้น เพราะข้อมูลของตลาดหุ้นจีน ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 ที่ผมเลือกหุ้นพรีเมียม งบการเงินดีที่สุดของหุ้นจีนประมาณ 50 ตัว จะเห็นว่ามีหุ้นถูกประมาณ 46 ตัว หุ้นแพง 4 ตัว คิดเป็นอัตราส่วนหุ้นต่อถูกแพง 11.5 เท่า หมายความว่ามีหุ้น 100 ตัว จำนวนหุ้นราคาถูกมีมากกว่าหุ้นราคาแพงอยู่ถึง 11.5 เท่า พูดง่ายๆ สมมติว่าถ้าหลับตาปาเป้าไป 10 ครั้ง ก็จะเจอหุ้นถูก 8-9 ครั้งเลยทีเดียว และเจอหุ้นแพงครั้งเดียว

 

มาถึงตอนนี้คุณคงอยากถามว่า หุ้นจีนที่ขึ้นมาแรงแบบนี้ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีแล้ว คุณควรลงทุนอย่างไรต่อดี แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นผมก็ยังอยากให้คุณใช้เวลานี้ทบทวนพอร์ตการลงทุนของตัวเองกันก่อนครับ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของการลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั่นคือ การกระจายการลงทุน (Asset Allocation) ที่เป็นตัวช่วยจัดการความเสี่ยงที่ดี และทำให้สุขภาพพอร์ตแข็งแรงได้ด้วยวินัยในการรักษาสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสม

 

ดังนั้นในฐานะนักลงทุนระยะยาว หากเวลานี้คุณยังมีสัดส่วนของหุ้นจีนในพอร์ตน้อยหรือยังไม่มีเลย ผมมองว่าตลาดหุ้นจีนยังมีโอกาสในการเติบโตในระยะยาวที่สูงอยู่ การมีหุ้นจีนในสัดส่วนที่เหมาะสมประมาณ 10-15% ในพอร์ต ก็จะช่วยในการสร้างการเติบโตในระยะยาวบนความเสี่ยงที่เหมาะสมให้กับพอร์ตการลงทุนได้ คุณอาจจะรอให้ย่อลงอีกสักนิดแล้วค่อยทยอยเข้าสะสมก็ได้

 

แต่หากคุณมีหุ้นจีนติดพอร์ตไว้มากแล้ว ในเวลานี้ถือเป็นเวลาดีที่คุณจะปรับสัดส่วนของพอร์ต (Rebalance) ขายหุ้นจีนที่ถืออยู่เยอะออกมาบ้าง​​ เพื่อรักษาวินัยให้พอร์ตของคุณยังมีสัดส่วนที่สมดุลในระยะยาว

 

จริงอยู่ว่าตลาดหุ้นจีนกำลังเข้าสู่ขาขึ้น ใครๆ ก็อยากกระโดดเข้าสู่ตลาดขาขึ้น แต่อย่าลืมว่าทุกสินทรัพย์ในโลกลงทุนย่อมมีวัฏจักรเคลื่อนไหวขึ้น-ลงได้เฉกเช่นเดียวกัน ไม่มีตลาดหุ้นไหนที่จะดีตลอดไป หรือแย่ตลอดไปครับ แต่การลงทุนอย่างมีสติ ไม่ตื่นเต้นไปตามตลาดที่เด้งดึ๋งไปเสียทุกครั้ง แต่ใช้โอกาสนี้ในการปรับพอร์ตรักษาวินัย​ ดูแลสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสม จะช่วยให้พอร์ตลงทุนมีความสมดุลและปลอดภัยได้ในระยะยาวแน่นอน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X