เหตุการณ์ความปั่นป่วนของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ถูกเรียกว่าเป็นวันจันทร์ทมิฬ หรือ ‘Black Monday’ ลากเอาหุ้นหลายตัวร่วงกันไปอย่างรุนแรง รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่นักลงทุนเริ่มมีความกังวลว่าการทุ่มเงินพัฒนา AI ของเหล่าบริษัทบิ๊กเทคอาจจะยังไม่ออกดอกออกผลตามความคาดหวังที่พวกเขาตั้งเอาไว้
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กลับมองว่าการลงทุนใน AI ณ ปัจจุบันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น โดยข้อมูลจาก Financial Times เผยว่า Microsoft, Alphabet, Amazon, และ Meta ใช้จ่ายเงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AIไปแล้วกว่า 1.06 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.74 ล้านล้านบาท) ในครึ่งปีแรก ตามข้อมูลรายงานผลประกอบการของ 2 ไตรมาสล่าสุด พร้อมทั้งยืนยันว่าจะเพิ่มเงินลงทุนต่ออีกใน 18 เดือนข้างหน้า แม้จะเริ่มมีคำถามเรื่องความคุ้มค่าของเงินทุนจากฝั่งนักลงทุนก็ตาม
“ในตอนนี้ ผมยอมเสี่ยงที่จะสร้างกำลังโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถรองรับการประมวลผลได้เกินความต้องการที่มีในตลาด ดีกว่าจะเสี่ยงทำให้ตัวเองต้องเป็นผู้ไล่ตาม” มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta กล่าว พร้อมประเมินว่าเงินทุนที่บริษัทจะใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AIอาจทะลุ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สัปดาห์แห่งความผันผวนของตลาดการเงิน เป็นจุดเริ่มต้นของตลาดหมีหรือแค่ตลาดกระทิงที่พักชั่วคราว
- ตลาดหุ้นปรับฐานทั่วโลก ความเสี่ยงสหรัฐฯ เกิด Recession เพิ่มเป็น 25%
ทางด้านของนักวิเคราะห์ จิม เทียร์นีย์ กลับให้ความเห็นกับ Financial Times ว่าบริษัทบิ๊กเทคกำลังเดิมพันกับ AIอย่างจริงจัง และบรรยากาศการลงทุนตอนนี้ก็เหมือนตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำว่า “เชื่อเราสิ” เนื่องจากแนวโน้มของนักลงทุนในตลาดที่ส่วนใหญ่ยังมีข้อสงสัยในความคุ้มค่าและประสิทธิภาพการสร้างผลตอบแทนจากเงินทุนที่ใช้ไปอย่างมหาศาล
ความไม่มั่นใจของนักลงทุนในเรื่องนี้สะท้อนออกมาผ่านราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับฐานค่อนข้างรุนแรง แต่นั่นก็มิได้ทำให้ผู้นำบิ๊กเทคโอนอ่อนแต่อย่างใดกับการใช้จ่ายที่ ‘จำเป็น’ สำหรับการรักษาอำนาจการแข่งขันในตอนนี้
ซันดาร์ พิชัย ซีอีโอของ Google แสดงความเห็นว่า “ในช่วงยุคการเปลี่ยนผ่านของวงการเทคโนโลยี การลงทุนที่น้อยเกินไปมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนเยอะเกินไปมหาศาล”
จากรายงานผลประกอบการในครึ่งปีแรกที่ออกมาในสัปดาห์ที่แล้ว Google ใช้เงินทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนา AIถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 90% จากครึ่งปี 2023
ในขณะเดียวกัน Microsoft ใช้จ่ายเงินส่วนนี้เพิ่มขึ้น 78% โดยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัท Amy Hood ออกมาอธิบายเหตุผลการใช้จ่ายกับนักลงทุนว่า เงินที่ทุ่มไปกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ จะเป็นสินทรัพย์ในระยะยาวที่จะสามารถสร้างรายได้ใน 15 ปี และต่อไปอีกในอนาคตข้างหน้า
Amazon ลงทุนเพิ่มเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเครือข่ายอีคอมเมิร์ซ 27% และมองว่าจะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าตอนนี้ AIคือ ‘ธุรกิจมูลค่าพันล้าน’ ของบริษัทไปแล้ว
การลงทุนส่วนใหญ่จากกลุ่มบริษัทบิ๊กเทคมุ่งไปที่การซื้อที่ดินและสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่สำหรับธุรกิจคลาวด์ และเงินอีกมหาศาลจำนวนหนึ่งก็ถูกใช้ไปกับฮาร์ดแวร์ รวมถึงการกว้านซื้อชิปเฉพาะทางที่ส่วนใหญ่ผลิตโดย NVIDIA ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่หล่อเลี้ยงการทำงานโมเดลAI
ความต้องการบริการคลาวด์โดยรวมของธุรกิจต่างๆ พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากบริษัทหลายรายเริ่มทดลองใช้บริการ AIเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน แม้ว่าส่วนใหญ่จะยังอยู่ในช่วงทดลองและยังไม่นำไปใช้ในส่วนของการทำงานอย่างเต็มรูปแบบ
เมื่อประเมินจากท่าทีของสิ่งที่ผู้นำบริษัทบิ๊กเทคได้กล่าวมานั้น การเดินหน้าอัดเงินลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพของระบบนิเวศ AIให้แข็งแกร่งขึ้นอีกคงจะยังไม่ชะลอตัวลงในเร็ววันนี้ และการดิ่งลงของหุ้นก็เหมือนจะไม่ทำให้ความมั่นใจของพวกเขาลดลงเท่าไรเลย
“ภาพการลงทุนในธุรกิจ AIตอนนี้ทำให้หลายคนคิดไปถึงความคล้ายคลึงของมันกับการลงทุนในยุคฟองสบู่ดอทคอม ที่สุดท้ายบริษัทจำนวนมากต้องล้มหายไปจากการขยายกิจการ ซึ่งเป็นเรื่องไม่แปลกที่จะคิดเช่นนั้น แต่สิ่งที่ต่างในเวลานั้นกับตอนนี้คือบริษัทที่กำลังขยายธุรกิจด้วยการใช้จ่ายมหาศาลมีรายได้ส่วนอื่นในธุรกิจที่ทำกำไรได้สูงและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งอย่างมาก” ไมเคิล โฮเดล นักวิเคราะห์จาก Morningstar กล่าว
อ้างอิง: