วันนี้ (31 กรกฎาคม) พรรคไทยสร้างไทย โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรค, โภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศพรรค, ชวลิต วิชยสุทธิ์ รองหัวหน้าพรรค และ ชัชวาล แพทยาไทย เลขาธิการพรรค ร่วมกันแถลงข่าวแสดงจุดยืนต่อแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้เสนอรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรแล้วนั้น
โภคินกล่าวว่า กรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หัวใจหลักของการพิจารณาร่างกฎหมายคือจะมีการนิรโทษกรรมคดี มาตรา 112 ด้วยหรือไม่ ซึ่งพรรคไทยสร้างไทยเห็นว่าไม่ควรนิรโทษกรรมคดี มาตรา 112 เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นประมาทหรืออาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งยังขัดกับรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้ชัดเจนว่าไม่ให้ใครหมิ่นประมาทหรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ซึ่งความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์เป็นคดีที่ยอมความไม่ได้ เมื่อยอมความไม่ได้จึงเกิดกระบวนการกล่าวโทษโดยผู้ใดก็ได้ ซึ่งเป็นช่องทางที่อาจเกิดการกลั่นแกล้งได้
พรรคไทยสร้างไทยจึงมีความเห็นร่วมกันว่า ควรปรับแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยให้มีคณะกรรมการกลั่นกรอง ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นมา 1 ชุด ทำหน้าที่ตรวจสอบคดีที่เกิดขึ้น ป้องกันการใช้กฎหมายมาตรา 112 เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้ง
นอกจากนี้ ในระหว่างที่มีการดำเนินคดี ผู้ที่ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหาสามารถทำเรื่องกราบบังคมทูลให้พระมหากษัตริย์ใช้พระราชอำนาจพิจารณาพระราชทานอภัยได้ ซึ่งหลักการนี้เพิ่มเติมมาจากการขอพระราชทานอภัยโทษที่รวมทุกคดี รวมถึงคดีที่ถูกฟ้องด้วยมาตรา 112 ด้วย
คุณหญิงสุดารัตน์ย้ำว่า พรรคไทยสร้างไทยมีจุดยืนชัดเจนในการยึดมั่นต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยากเห็นความสามัคคีปรองดอง หันหน้าเข้าหากัน อยากให้ทุกคนทุกฝ่ายยึดมั่นตามแนวทางพระราชทานของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 โดยเฉพาะพระราชดำรัสเรื่องคุณธรรม 4 ประการ ซึ่งจะเป็นหลัก ทำให้คนหันหน้าเข้ามาพูดคุยกันอย่างมีวุฒิภาวะ
สำหรับการแก้ไข พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะต้องแก้ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ สติ และปัญญา ไม่ใช่แก้ด้วยความรักหรือความเกลียดความชัง วันนี้ประชาชนธรรมดายังมีกฎหมายคุ้มครอง ดังนั้นพระมหากษัตริย์จะต้องมีสิทธิไม่ด้อยไปกว่าประชาชน เราจึงมีจุดยืนในการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ดำรงอยู่อย่างวัฒนาสถาพรตลอดไป
ด้านชวลิตย้ำว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้เสนอรายงานการศึกษา เรื่อง แนวทางการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ ซึ่งในคราวประชุมของสภาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบที่จะไม่นิรโทษกรรมคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
จึงเห็นว่าหลักการดังกล่าวไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพราะทุกพรรคการเมืองที่ให้ความเห็นชอบในขณะนั้นก็อยู่ในสภาชุดนี้ อย่างไรก็ตาม นับจากวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ถึงปัจจุบัน มีข้อมูลจากคณะกรรมาธิการฯ ว่า มีคดีความผิดตามมาตรา 112 เกิดขึ้นจำนวน 303 คดี ซึ่งใน 303 คดีดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน
พรรคไทยสร้างไทยตระหนักถึงปัญหาของประเทศที่กำลังประสบอยู่ คือการสร้างความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ ขณะเดียวกันก็ต้องรักษากฎหมายบ้านเมืองซึ่งเป็นหลักการสำคัญ ดังนั้นการเสนอทางออกต่อปัญหามาตรา 112 จึงใช้หลักปกป้องสถาบันฯ ขณะเดียวกันก็น้อมนำคุณธรรม ‘อภัย’ มาใช้ในการแก้ปัญหากับผู้ที่สำนึกในการกระทำจะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม และจะไม่กระทำซ้ำ
เช่นเดียวกับชัชวาลที่มองว่าการพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมเป็นเรื่องสำคัญ ต้องนำไปพูดคุยในสภา ซึ่งพรรคไทยสร้างไทยได้ยกร่างแล้วและเตรียมที่จะนำเข้าไปพูดคุยในสภาต่อไป