พรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศแผนเศรษฐกิจครั้งใหม่ หวังแก้ไขปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังดิ่งเหว แต่ดูเหมือนจะยังไม่สามารถคลายความกังวลของบริษัทต่างชาติได้ ซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ระหว่างความต้องการเข้าถึงตลาดจีนที่มีศักยภาพมหาศาล กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลจีน
แผนเศรษฐกิจดังกล่าวได้รับการเปิดเผยในการประชุมสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เรียกว่า ‘Third Plenum’ โดยมีเนื้อหาบางส่วนที่ดูเหมือนจะมุ่งส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
แม้ว่าจีนจะย้ำถึง ‘นโยบายพื้นฐานของรัฐในการเปิดกว้างสู่โลกภายนอก’ และ ‘ส่งเสริมการปฏิรูปผ่านการเปิดกว้าง’ รวมถึงเน้นย้ำถึงการใช้ประโยชน์จากตลาดขนาดใหญ่ของประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเปิดเศรษฐกิจและส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ แต่ก็ยังขาดมาตรการที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังประสบปัญหา
มาตรการที่รัฐบาลจีนนำมาใช้ในปัจจุบัน เช่น การให้หน่วยงานท้องถิ่นซื้อสินค้าคงคลังที่อยู่อาศัย ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ราคาอสังหาริมทรัพย์ใหม่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ยังคงชะลอตัว
นอกจากนี้แผนเศรษฐกิจดังกล่าวยังมีการกล่าวถึงคำว่า ‘Market’ น้อยลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับแผนเศรษฐกิจที่ประกาศในการประชุมเต็มคณะครั้งที่สามในปี 2013 ซึ่งเน้นการปฏิรูปตลาดมากกว่า
รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ได้ดำเนินนโยบายที่เข้มงวดขึ้นต่อภาคเอกชน ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับรัฐวิสาหกิจมากขึ้น ซึ่งมักถูกเรียกว่า ‘กั๋วจิ้นหมินทุย’ (รัฐเข้มแข็ง เอกชนถอย) และแถลงการณ์ครั้งนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงการสานต่อนโยบายดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายมองว่าจีนกำลังถอยห่างจากเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี
ข้อมูลจาก The Peterson Institute for International Economics (PIIE) สถาบันวิจัยของสหรัฐฯ ระบุว่า ในบรรดาบริษัทจีน 100 อันดับแรกที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด ณ สิ้นปีที่แล้ว ครึ่งหนึ่งเป็นบริษัทที่รัฐบาลจีนถือหุ้นมากกว่า 50% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี ขณะเดียวกัน การลงทุนโดยตรงจากบริษัทต่างชาติลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 23 ปี
แม้ว่าจีนจะยังคงเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคน และมีบริการใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ความกังวลเกี่ยวกับการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นและการถอยห่างจากเศรษฐกิจตลาดเสรี ทำให้บริษัทต่างชาติหลายแห่งกำลังมองหาทางเลือกอื่น เช่น การลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และภูมิภาคอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม บริษัทข้ามชาติยังไม่ละทิ้งจีนไปทั้งหมด เนื่องจากยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่และมีศักยภาพสูง แต่ก็พยายามสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความสัมพันธ์กับผู้นำจีนและการปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง โดยมีการส่งคณะผู้แทนเข้าพบปะกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิง และมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำในยุโรปเดินทางเยือนจีนอย่างต่อเนื่อง
แม้จะมีความพยายามในการเปิดประเทศและส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลจีนยังไม่พร้อมที่จะออกมาตรการที่กล้าหาญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่กำลังฉุดรั้งเศรษฐกิจจีนในขณะนี้
การประชุมเต็มคณะครั้งที่สามในอดีตมักเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปครั้งสำคัญ เช่น การประชุมในปี 1978 ที่นำไปสู่การปฏิรูปเศรษฐกิจและการเปิดประเทศ หรือการประชุมในปี 1993 ที่ตัดสินใจให้จีนมุ่งสู่เศรษฐกิจแบบตลาดสังคมนิยม
แต่ถึงกระนั้นแผนเศรษฐกิจฉบับใหม่นี้ก็ยังขาดความชัดเจนในหลายด้าน และยังไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมที่จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติได้อย่างแท้จริง ทำให้เกิดคำถามว่า แผนเศรษฐกิจนี้จะเป็นเพียงแค่ ‘ลมปาก’ หรือจะเป็น ‘โอกาสทอง’ สำหรับนักลงทุนต่างชาติกันแน่
ภาพ: Martin Puddy / Getty Images
อ้างอิง: